เมื่อพูดถึงเรื่องความรู้ในแวดวงวิชาการมักย่องย่องว่าเป็นชุดความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เข้ามาอธิบายสิ่งต่างๆ เพราะชุดความรู้เป็นกรอบในการตีค่า ให้นิยาม ตลอดจนกำหนดลักษะณะของสิ่งต่างๆที่เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วเราจะเห็นอิทธิพลของชุดความรู้ต่างๆที่เข้ามากำหนดขอบเขตการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งปวง ทั้งหมดนี้มันแฝงไปด้วยอคติทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าแฝงมากหรือแฝงน้อยเท่านั้นเอง เพราะจากประวัติศาสตร์การเรียนรู้ที่ผ่านมานั้น ความรู้ไม่ได้เกิดขึ้นที่รัฐ หรือไม่ได้เกิดขึ้นที่หลักสูตรแบบเรียนแต่อย่างใด หากแต่เป็นองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นบนฐานของความจริง ในชีวิตประจำวันโดยทั้งสิ้น สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมของผู้คนจะเป็นตัวกำหนดชุดความรู้ และอธิบายสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา เหตุผลที่ชุดความรู้เข้ามามีอำนาจในการตีค่าสิ่งต่างๆก็เพราะว่ายุคสมัยที่เราให้คุณค่ากับข้อมูลมากกว่าสิ่งอื่นๆ เช่น การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นเครื่องมือและสร้างการยอมรับจากมนุษยชาติ
ในสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุคแต่ละสมัยแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวของชุดความรู้อย่างชัดเจน เราเห็นความสงสัยในตัวมนุษย์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด เมื่อสงสัยก็นำมาซึ่งการแสวงหาคำตอบ และการหาคำตอบนั้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วิธีการเดียว แต่วิธีการที่ได้รับการยอมรับมากกว่าเท่านั้นที่จะเป็นตัวอธิบายและกำหนดชุดความรู้ขึ้นมา เช่น ในสมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบบ และทุกคนก็เชื่อว่าโลกแบน จนกระทั่งมีการสงสัยขึ้นมา นำไปสู่การค้นหาคำตอบ และพิสูจน์ได้ว่าโลกแบบ ชุดความรู้เดิมที่มีอยู่ก็ถูกทำลายทิ้งไป และหมดคุณค่าลง
สิ่งที่เราสามารถถอดบทเรียนจากชุดความรู้ต่างๆที่เราเรียนนั้นสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่ตั้งคำถามและหาเหตุผลอื่นมาอธิบายแทนความรู้ที่มีอยู่ ไม่แน่เมื่อสิ่งที่เราอธิบายมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเราอาจจะกลายเป็นผู้กำหนดความรู้ใหม่ก็เป็นได้ ชุดความรู้จึงมีพลวัตรของมันจะอยู่ได้นานหรือไม่นานขึ้นอยู่กับการท้าทายกับความรู้นั้นๆ เช่น ในเรื่องวิทยาศาสตร์มีการท้าทายชุดความรู้มาก และมีการพัฒนา พิสูจน์ เพิ่มเติมเพื่อลบล้างทฤษฏีมาอย่างต่อเนื่อง บางทฤษฏีก็ถูกลบล้างไปแล้ว บางทฤษฏียังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ เราจะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของความรู้อย่างต่อเนื่อง หากจะเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งอำนาจเหล่านี้ทำงานในกระบวนการครอบงำนั่นเอง คือ การจำกัดขอบเขตไม่ให้มีความคิดอื่นๆมาแย้งนั่นเอง
ในสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุคแต่ละสมัยแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวของชุดความรู้อย่างชัดเจน เราเห็นความสงสัยในตัวมนุษย์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด เมื่อสงสัยก็นำมาซึ่งการแสวงหาคำตอบ และการหาคำตอบนั้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วิธีการเดียว แต่วิธีการที่ได้รับการยอมรับมากกว่าเท่านั้นที่จะเป็นตัวอธิบายและกำหนดชุดความรู้ขึ้นมา เช่น ในสมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบบ และทุกคนก็เชื่อว่าโลกแบน จนกระทั่งมีการสงสัยขึ้นมา นำไปสู่การค้นหาคำตอบ และพิสูจน์ได้ว่าโลกแบบ ชุดความรู้เดิมที่มีอยู่ก็ถูกทำลายทิ้งไป และหมดคุณค่าลง
สิ่งที่เราสามารถถอดบทเรียนจากชุดความรู้ต่างๆที่เราเรียนนั้นสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่ตั้งคำถามและหาเหตุผลอื่นมาอธิบายแทนความรู้ที่มีอยู่ ไม่แน่เมื่อสิ่งที่เราอธิบายมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเราอาจจะกลายเป็นผู้กำหนดความรู้ใหม่ก็เป็นได้ ชุดความรู้จึงมีพลวัตรของมันจะอยู่ได้นานหรือไม่นานขึ้นอยู่กับการท้าทายกับความรู้นั้นๆ เช่น ในเรื่องวิทยาศาสตร์มีการท้าทายชุดความรู้มาก และมีการพัฒนา พิสูจน์ เพิ่มเติมเพื่อลบล้างทฤษฏีมาอย่างต่อเนื่อง บางทฤษฏีก็ถูกลบล้างไปแล้ว บางทฤษฏียังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ เราจะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของความรู้อย่างต่อเนื่อง หากจะเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งอำนาจเหล่านี้ทำงานในกระบวนการครอบงำนั่นเอง คือ การจำกัดขอบเขตไม่ให้มีความคิดอื่นๆมาแย้งนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น