โครงการห้าปีดีต่อ ดีก้าวต่อก้าว ฝันต่อฝัน
วันที่ 6–9 ธันวาคม 2555
ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ พัทยา
โดย ธนาคารออมสิน ร่วมกับ สพฐ. และ สอศ. ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
สำหรับวันแรกของการเข้าร่วมกิจกรรม ผมได้เดินทางโดยรถนครชัยแอร์ ขึ้นรถจากสถานีขนส่งอาเขต (เชียงใหม่) เวลา 17.00 น. ของวันที่ 5 ธ.ค. 55 และเดินทางมาถึงศูนย์บริการนครชัยแอร์พัทยาเวลา 08.00 น. ของวันที่ 6 ธ.ค. 55 รวมระยะเวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 15 ชั่วโมง ถึงแม้จะเหนื่อยกับการเดินทางหน่อยแต่ก็ลุ้นและตื่นเต้นกับกิจกรรมที่จะได้เข้าร่วมตลอด นับตั้งแต่ได้รับกำหนดการการจัดกิจกรรมก็พยายามจินตนาการอยู่ตลอดว่า น่าจะสนุกสนานมากอย่างแน่นอน หลังจากลงจากรถก็ทำการจองตั๋วรถในวันที่กลับเป็นอันดับแรก เพราะว่าช่วงวันหยุดอย่างนี้คนเดินทางเยอะ หากไม่ได้จองล่วงหน้า อาจไม่มีที่นั่งว่าก็เป็นได้ จากนั้นก็นั่งรถวินมอเตอร์ไซค์จากท่ารถมายังโรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา ซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายของพวกเรา ตามตารางนัดหมายคือ เวลา 14.00 น. ในการลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม แต่ผมมาถึงก่อนก็เลยออกไปเดินเล่นบริเวณชายหาด สักพักเริ่มรู้สึกร้อนกับแสงแดดที่สาดส่องมาซึ่งตรงกันข้ามกับชาวต่างชาติที่บินมาอาบแดดในเมืองไทย ที่พวกเขาเลือกคือโรงแรมแห่งนี้ เพราะมีสถานที่สำหรับการอาบแดดพร้อมบริการนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก หลังจากเก็บภาพบรรยากาศได้ 2-3 ภาพก็ตัดสินใจเข้ามายังล๊อบบี้ของโรงแรมเพื่อรอการเช็คอินเพื่อเข้าไปเก็บสัมภาระ
ช่วงที่รอให้เวลามาถึงก็ได้เจอกับเพื่อนร่วมเส้นทางบนถนนแห่งความดีหลายคนด้วยกัน
ซึ่งล้วนแต่เคยได้รับการประกาศเชิดชูเกียรติมาแล้วทั้งสิ้น ได้แก่ พี่ปุ้ย พี่ท๊อป
น้องนนท์ น้องหมูเอย และน้องนิ้ง
ทุกคนอัธยาศัยดีมาก พวกเรานั่งพูดคุยกันถึงบรรยากาศเก่าๆที่เคยไปรับรางวัล
รวมทั้งเล่าประสบการณ์ที่ตนเองเคยผ่านมาบนเส้นทางแห่งการทำความดี และเก็บภาพบรรยากาศอันน่าประทับใจด้วยกัน
พอคุยกันได้สักพักก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา สาวๆทั้งหลายชวนไปทานข้าวด้วยกัน
พวกเราพากันเดินออกจากโรงแรมไป แล้วเดินไปตามถนนใหญ่ ไปนั่นรับประทานก๋วยเตี๋ยวข้างโลตัสแอสเพรสแห่งหนึ่ง
ภายใต้บรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวแบบไม่ค่อยชอบนัก
แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค์สำหรับการจัดการความหิว เพราะร้อนส่วนร้อน หิวส่วนหิว
มันทดแทนกันไม่ได้สักหน่อย
หลังจากพวกเรารับประทานอาหารมื้อเที่ยงแล้วเสร็จก็พากันกลับเข้ามายังโรงแรม
คราวนี้รู้สึกจะใกล้เวลาลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมแล้วแหละ เข้าไปนั่งรอในห้องสักพักก็มีพี่ๆมาเรียกให้ไปลงทะเบียนหน้าห้อง วันแรกของการเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้รับเสื้อกั๊ก
1 ตัว กระเป๋า 1 ใบ สมุดจดบันทึก 1 เล่ม และทำเนียบสรุปรายชื่อผู้ได้รับรางวัลตั้งแต่ปี 50 เป็นต้นมา 1 เล่ม หลังจากลงทะเบียนแล้วเสร็จก็ยังไม่ได้เริ่มกิจกรรมเพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดการที่วางไว้
ก็เป็นช่วงเวลาของการรอเพื่อนๆทยอยมาลงทะเบียน เพื่อไม่ให้เวลาเสียเปล่า
พสกเราก็หยิบกล้องมาถ่ายเล่นๆกันกับป้ายอันสดใสของงานที่ทางผู้ใหญ่ใจดี
(ธนาคารออมสิน) ได้เตรียมเอาไว้แล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปพอสมควร ก็เข้าสู่กิจกรรมแรกของงาน คือ ความสุนกสนานกับกิจกรรมละลายพฤติกรรมที่พี่ๆวิทยากรจัดเตรียมมาให้ รู้สึกว่าจำนวนผู้เข้าร่วมงานจะไม่เป็นไปตามที่ได้คาดไว้ แต่ก็เต็มเก้าอี้แถวหน้าทั้ง 2 แถว กิจกรรมสันทนาการของพวกเราเริ่มต้นด้วยการจัดกลุ่มเพื่อทำความรู้จักกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของทุกๆค่ายอยู่แล้ว ที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องรู้จักกันเป็นอันแรก พอได้ทำความรู้จักกันแล้วก็เข้าสู่การพักผ่อน คราวนี้พี่ๆจะแจกกุญแจห้อง ซึ่งเราต้องนอนห้องละ 2 คน ผมได้พักกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อ ใหม่ ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีเดียวกัน (ปีที่ 3) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จาก ม.เทคโนโลยีสุรนารี คุยไปคุยมารู้ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที่หนึ่ง งานนี้เราได้พักห้อง 50831 ซึ่งอยู่ชั้นที่ 8 ของอาคาร Tower Wing ของโรงแอมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ พัทยา จอมเทียน หลังจากที่เราเก็บสัมภาระเสร็จแล้วก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็นกับมื้อค่ำแสนอร่อย งานนี้จัดเต็มกับอาหารโรงแรมระดับตอดดาวเชียว หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ถูกพี่ๆพาไปอีกห้องหนึ่ง แล้วจัดกลุ่มใหม่โดยที่ให้มีการผสมระหว่างน้องๆและพี่ๆ เนื่องจากว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีอายุตั้งแต่ 11 ปี – 23 ปี จึงต้องคละจำนวนกัน แบ่งกลุ่มเสร็จพี่ๆสตาฟก็ให้หลับตา จากนั้นก็พาเราไปที่ห้องสัมมนา เมื่อนั่งลงแล้วก็ถูกบอกให้ลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือ แสงเทียนเล่มน้อยๆที่ให้แสงสว่างอย่างระยิบระยับ ทำให้ผมนึกถึงหลักคำสอนอยู่ข้อหนึ่งว่า เทียนเป็นสัญลักษณ์ของผู้ให้ เพราะเทียนยอมเผาผลาญตนเองเพื่อให้แสงสว่างกับคนอื่น ด้วยแสงเทียนที่เผล่งประกายออกมา พร้อมด้วยพี่พิธีกรเสียงหวาน พี่เอ๋ นักข่าวช่อง 3 มาร่วมดำเนินรายการในค่ำคืนนี้ ได้รับการบายศรีสู่ขวัญจากผู้ใหญ่ใจดี อันประกอบไปด้วย ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน ตัวแทนจากธนาคารออมสิน ผูกข้อไม้ข้อมือให้กับพวกเราเหล่าเยาวชนคนดี และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จากผู้หลักผู้ใหญ่ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการก็เข้าสู่การชม VTR ภาพย้อยหลังของโครงการประกวดนักเรียนดีเด่นด้านคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้รู้สึกคิดถึงภาพบรรยากาศเก่าๆที่เคยไปรับรางวัลที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารออมสิน และเมื่อถึงกิจกรรมอันสำคัญของการแชร์ประสบการณ์ พวกเราก็ตั้งวงพูดคุยกันอย่างเปิดใจในช่วงของ เปิดใจ..ใต้แสงเทียน โดยมีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 10 กลุ่ม จากนั้นให้แต่ละกลุ่มแยกย้ายไปตามมุมต่างๆแล้วพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความดีที่ทุกคนได้ทำมา ตลอดจนได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความดีว่า มันคืออะไร ทำไมต้องทำความดี ซึ่งแต่ละคนก็ได้พูดตามความคิดของตนเอง แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน เพราะว่าความดีที่แต่ละคนทำนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป บางคนมองว่าความดีจะต้องยิ่งใหญ่ บางคนบอกว่าความดีไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่เริ่มที่จิตใจของเรา หลังจากกิจกรรมเปิดใจ ใต้แสงเทียนแล้วทางธนาคารออมสินได้จัดเตรียมอาหารว่างรอบดึกแสนอร่อยให้ทานด้วย จากนั้นก็แยกย้ายขึ้นไปนอนตามที่ได้ถูกจัดแบ่งไว้ให้แล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปพอสมควร ก็เข้าสู่กิจกรรมแรกของงาน คือ ความสุนกสนานกับกิจกรรมละลายพฤติกรรมที่พี่ๆวิทยากรจัดเตรียมมาให้ รู้สึกว่าจำนวนผู้เข้าร่วมงานจะไม่เป็นไปตามที่ได้คาดไว้ แต่ก็เต็มเก้าอี้แถวหน้าทั้ง 2 แถว กิจกรรมสันทนาการของพวกเราเริ่มต้นด้วยการจัดกลุ่มเพื่อทำความรู้จักกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของทุกๆค่ายอยู่แล้ว ที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องรู้จักกันเป็นอันแรก พอได้ทำความรู้จักกันแล้วก็เข้าสู่การพักผ่อน คราวนี้พี่ๆจะแจกกุญแจห้อง ซึ่งเราต้องนอนห้องละ 2 คน ผมได้พักกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อ ใหม่ ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีเดียวกัน (ปีที่ 3) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จาก ม.เทคโนโลยีสุรนารี คุยไปคุยมารู้ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที่หนึ่ง งานนี้เราได้พักห้อง 50831 ซึ่งอยู่ชั้นที่ 8 ของอาคาร Tower Wing ของโรงแอมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ พัทยา จอมเทียน หลังจากที่เราเก็บสัมภาระเสร็จแล้วก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็นกับมื้อค่ำแสนอร่อย งานนี้จัดเต็มกับอาหารโรงแรมระดับตอดดาวเชียว หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ถูกพี่ๆพาไปอีกห้องหนึ่ง แล้วจัดกลุ่มใหม่โดยที่ให้มีการผสมระหว่างน้องๆและพี่ๆ เนื่องจากว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีอายุตั้งแต่ 11 ปี – 23 ปี จึงต้องคละจำนวนกัน แบ่งกลุ่มเสร็จพี่ๆสตาฟก็ให้หลับตา จากนั้นก็พาเราไปที่ห้องสัมมนา เมื่อนั่งลงแล้วก็ถูกบอกให้ลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือ แสงเทียนเล่มน้อยๆที่ให้แสงสว่างอย่างระยิบระยับ ทำให้ผมนึกถึงหลักคำสอนอยู่ข้อหนึ่งว่า เทียนเป็นสัญลักษณ์ของผู้ให้ เพราะเทียนยอมเผาผลาญตนเองเพื่อให้แสงสว่างกับคนอื่น ด้วยแสงเทียนที่เผล่งประกายออกมา พร้อมด้วยพี่พิธีกรเสียงหวาน พี่เอ๋ นักข่าวช่อง 3 มาร่วมดำเนินรายการในค่ำคืนนี้ ได้รับการบายศรีสู่ขวัญจากผู้ใหญ่ใจดี อันประกอบไปด้วย ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน ตัวแทนจากธนาคารออมสิน ผูกข้อไม้ข้อมือให้กับพวกเราเหล่าเยาวชนคนดี และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จากผู้หลักผู้ใหญ่ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการก็เข้าสู่การชม VTR ภาพย้อยหลังของโครงการประกวดนักเรียนดีเด่นด้านคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้รู้สึกคิดถึงภาพบรรยากาศเก่าๆที่เคยไปรับรางวัลที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารออมสิน และเมื่อถึงกิจกรรมอันสำคัญของการแชร์ประสบการณ์ พวกเราก็ตั้งวงพูดคุยกันอย่างเปิดใจในช่วงของ เปิดใจ..ใต้แสงเทียน โดยมีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 10 กลุ่ม จากนั้นให้แต่ละกลุ่มแยกย้ายไปตามมุมต่างๆแล้วพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความดีที่ทุกคนได้ทำมา ตลอดจนได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความดีว่า มันคืออะไร ทำไมต้องทำความดี ซึ่งแต่ละคนก็ได้พูดตามความคิดของตนเอง แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน เพราะว่าความดีที่แต่ละคนทำนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป บางคนมองว่าความดีจะต้องยิ่งใหญ่ บางคนบอกว่าความดีไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่เริ่มที่จิตใจของเรา หลังจากกิจกรรมเปิดใจ ใต้แสงเทียนแล้วทางธนาคารออมสินได้จัดเตรียมอาหารว่างรอบดึกแสนอร่อยให้ทานด้วย จากนั้นก็แยกย้ายขึ้นไปนอนตามที่ได้ถูกจัดแบ่งไว้ให้แล้ว
ก้าวเข้าสู่วันที่สองของการร่วมกิจกรรม
ในยามเช้าเปิดฉากด้วยอาหารเช้าอันแสนอร่อยร่วมกันกับเพื่อน ก็เป็นธรรมดาของอาหารระดับโรงแรม
ที่มีหลากหลายอย่างให้เลือก เลือกทานได้ตามใจชอบ ทั้งอาหารฝรั่ง อาหารไทย
แต่สำหรับผมแล้วลงเอยด้วยข้าวต้มหมูสไตล์ไทยๆ
อิ่มอร่อยสมชื่อดังที่ตั้งไว้ในกำหนดการ
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วก็เข้าสู่กิจกรรมในห้องสัมมนา เริ่มต้นด้วยกิจกรรมย่อยอาหารเล็กน้อย
ให้พอหอมปากหอมคอ จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงของการร่วมสร้างแรงบัลดาลใจกับกิจกรรม
ดีต่อดี ก้าวต่อก้าว ฝันต่อฝัน ในบรรยากาศอันสุดพิเศษนี้ก็มีแขกสุดพิเศษสำหรับวัยรุ่นไทยด้วย
นั่นก็คือ พี่โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
ศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจและแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเยาวชน มีอาจารย์เอก ซึ่งเป็นคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มศว.
และป้าบุษ จากธนาคารออมสิน
ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ธนาคารออมสิน
ผู้ให้กำเนิดโครงการ 5
ปีดีต่อดี โดยมีพี่เก๋ พิธีกรข่าวชื่อดังของช่อง 3 มาเป็นผู้ดำเนินรายการให้ พี่โต๋บอกว่าความเก่งสามารถพัฒนาได้ง่ายกว่าความดี
ฉะนั้นเก่งหรือไม่เก่งไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำคัญที่การเป็นคนดี
พี่โต๋มีคุณพ่อเป็นแรงบัลดาลใจในการใช้ชีวิต เนื่องจากว่าคุณพ่อก็เป็นนักดนตรี
จึงทำให้พี่โต๋อยากเป็นนักดนตรี และการค้นพบตัวเองก่อนจะได้เปรียบคนอื่น
พี่โต๋เองเป็นคนที่ไม่อยากดัง แต่อยากทำในสิ่งที่ตนเองชอบมากกว่า
เพราะว่ามีเหตุการณ์ที่จะทำให้พี่โต๋
ดังในระดับแนวหน้าของดาราหลายครั้งแต่พี่โต๋ปฏิเสธมัน
เนื่องจากไม่ใช่ความชอบของตนเอง และคุณพ่อเองก็ไม่เคยสนใจเรื่องเกรดเฉลี่ย
แต่สนใจในสิ่งที่ครูประจำชั้นเขียนให้ตรงข้อคิดเห็น
ซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมของนักเรียน
ด้วยแบบอย่างจากคุณพ่อที่มุ่งสอนในเรื่องของความดี
จึงทำให้พี่โต๋กลายเป็นคนที่มุ่งทำความดี มากกว่าการทำให้ตนเองเป็นคนดัง ในส่วนของป้าบุษ คงต้องสรุปสั้นๆอย่างได้ใจความด้วย
บทกลอนดังนี้
ดีต่อดีทำต่ออย่าย่อท้อ ก้าวต่อก้าวเดินต่อ อย่างหวั่นไหว
ฝันต่อฝันพลังเพิ่มเสริมเติมไป ด้วยดวงใจใฝ่ดีมีทุกวาน เป็นตัวอย่างต้นแบบแห่งความดี ขอจงมีเพิ่มต่ออย่าหยุดยั้ง เป็นพลังเสริมพลังกันและกัน
โลกสร้างสรรค์สังคมสุข มิทุกข์เอย
ทางด้านของอาจารย์เอก
ที่จะต้องมีภารกิจไปประชุมต่อจึงสรุปข้อคิดไว้ให้กับนักเรียนนักศึกษาที่เข้าค่ายในครั้งนี้ว่า
คนเราจะต้องมีความดีนำความรู้ หากความรู้ที่มีถูกนำไปใช้โดยไม่มีคุณธรรมกำกับ
ก็จะกลายเป็นทาสแห่งวัตถุนิยม ด้วยเทคนิคในการบรรยายที่น่าสนใจ
ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมหัวเราะไปตามกัน
การเสวนาในครั้งนี้ทำให้พวกเราได้เปิดมุมมองอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเพศ
สถานะ และวัยที่แตกต่างกัน ย่อมมองความดีไม่แตกต่างกันมากนัก
โดยมองว่าความดีคือสิ่งที่เราทำแล้วไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
หรือส่งผลกระทบในทางที่ผู้อื่นพึงพอใจ และเป็นการทำให้ตนเองมีความสุข
การเสวนามีแฝงไปด้วยข้อคิดดีดีผ่านพ้นไปในช่วงเช้า
หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันแล้วทุกคนก็กลับเข้ามารวมตัวกันในห้องสัมมนาอีกครั้งหนึ่ง
โดยในครั้งนี้เรานั่งกันเป็นกลุ่ม
เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องของการออกแบบโครงการทำความดี ในหัวข้อ คิดดี ทำดี
มีเพื่อน ซึ่งเป็นแผนงานที่ออกมาในรูปแบบของโรงการที่มีความเป็นๆไปได้ในการจัดทำขึ้นโดยธนาคารออมสิน
ร่วมกับทีมนักเรียนดีเด่นทั้งหลาย หลังจากการพูดคุยวางแผนโครงการได้สักพัก
ซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ได้ยินเสียงเตือนจากพี่ น้ำ และพี่จ๋า
ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มที่ 6 กลุ่ม “อะไรดี ?” ให้หยุดแล้วไปพักผ่อน เพราะเป็นช่วงของการพักผ่อนตามอัธยาศัย
มีการอนุญาตให้พวกเราลงไปเล่นน้ำทะเล แต่ด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด
จึงไม่ได้ลงเล่นน้ำเพราะว่าถ้าจะเล่นจริงจะต้องมีเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไป แต่วันนี้มีเวลาเพียง 1 ชั่วโมง
คงเล่นได้ไม่ซะใจเท่าไหร่ จึงได้แต่ไปเดินเล่นถ่ายรูปริมหาดทราย ด้านหน้าของโรงแรม
ในบรรยากาศที่มีพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า และจมหายลงไปในทะเล เพื่อกลุ่มเพื่อนๆที่เสร็จจากการถ่ายรูปก็ทยอยกันเดินกลับเจข้าไปยังห้องอาหารและร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
เพื่อเตรียมความพร้อมสู่กิจกรรมต่อไป นั่นคือ การดูภาพยนตร์และสะท้อนคิดในเรื่อง “Pay
It Forward” ภาพยนตร์ของฝรั่งที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ข้อคิดแก่คนดูในเรื่องของการให้
การจ่ายล่วงหน้า แสดงถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของการให้
ว่าการที่เราสร้างความดีนั่นเหมือนกับการได้จ่ายสิ่งตอบแทนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า
ผลที่มันเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร
ในถาพยนต์เป็นเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งที่เกิดในครอบครัวเล็กๆซึ่งคุณแม่มีปัญหากับคุณพ่อ
จนนำไปสู่ความขัดแย้ง ปมในใจของเด็กคนนี้ได้สะท้อนออกมาถึงคุณค่าของการให้
เด็กชายคนนี้ได้ช่วยเหนือผู้คนมากกมาย จนมีสื่อมาทำรายการแล้วอกอากาศทางโทรทัศน์
ซึ่งมีผู้ชมเป็นจำนวนมาก
และในท้ายที่สุดเด็กชายคนนี้ก็จบชีวิตลงด้วยการถูกเพื่อนแทงด้วยมีดตาย การดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในประเด็นของการทำความดี
ที่ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว
แต่ความดีที่เราทำหน้าย่อมีคนสรรเสริญและสืบต่อไปเรื่องๆ
การเริ่มลงมือทำในสิ่งที่เราอยากทำจะทำให้เราไม่เสียใจในภายหลัง เหมือนกับเด็กชายคนนี้เขาได้ให้แก่ผู้อื่นอย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งคนจรจัด เพื่อน และคุณครูของเธอเอง อยากให้ผู้อ่านได้ลองไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ดู
ในการชมวันนี้ถึงแม้บรรยากาศจะมากไปด้วยความง่วงสักเล็กน้อย
แต่ก็พอจับใจความและสรุปได้ โดยมีอาจารย์เอก และพี่เก๋
เป็นผู้ชวนคุยในประเด็นที่เราได้เรียนรู้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ และทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อคิดที่น่าสนใจสำหรับเยาวชนผู้ทำความดี
หลังจากกิจกรรมดูหนังแล้วก็มีเบรกรอบดึกให้กินก่อนนอนเช่นเคย
ด้วยโอวัลตินและขนมปังแสนอร่อย หลังจากนั้นก็ขึ้นไปพักผ่อนเอาแรงเพื่อร่วมกิจกรรมในวันพรุ่งนี้
เข้าสู่กิจกรรมในวันที่สาม หลังจากรับประทานอาหารเสร็จในเวลา 08.00 น.
ก็ขึ้นรถเพื่อไปทำกิจกรรมจิตอาสา เป้าหมายการเดินทางของเราคือ
ศูนย์สงเคราะห์คนชราบ้านบางละมุง เมื่อเดินทางไปถึง
ก็เข้าไปกราบพระในศาลาวัดที่ทางพี่ๆได้จัดเตรียมไว้ให้เพื่อรับฟังธรรมะจากพระอาจารย์สมปอง
ตาลปุโต พระนักเทศน์ชื่อดังที่ทุกคนรู้จักดี
ผู้ให้กำเนิดรายการธรรมะเดลิเวอรี่
และมีคุณตาคุณยายมาร่วมรับฟังด้วย เมื่อพระอาจารย์เดินทางมาถึง พี่
ดร.วิทย์ พิธีกรรายการข่าวชื่อดังของช่อง 5 ก็เข้ามาเริ่มดำเนินรายการ
ในลำดับแรกได้เชิญพระอาจารยมหาสมปอง บรรยายธรรม พระอาจารย์สมปอง
ได้เริ่มบรรยายธรรมด้วยสไตล์ของพระอาจารย์เอง แฝงด้วยความตลก
ที่เรียกเสียงหัวเราได้อย่างต่อเนื่อง ปิดท้ายการสอนธรรมะในเรื่องของความกตัญญูกตเวที
ที่ลูกที่ดีทุกคนควรมี ควรระลึก และนำไปปฏิบัติ
สำหรับนักเรียนคนไหนที่ขาดพ่อหรือขาดแม่แล้วพระอาจารย์ได้ให้ไปกราบขอพรจากคุณตาคุณยายที่มาร่วมรับฟังธรรมะด้วย
ทำเอาซึ้งกันไปตามกัน กับการเทศน์ที่มีความน่าสนใจในครั้งนี้
หลังจากการเทศน์แล้วก็ร่วมถ่ายรูปกับพระอาจารย์ฯ จากนั้นก็ย้ายไปนั่งอีกศาลาหนึ่ง
ซึ่งเป็นการสาธิตการทำยาดม ลูกประคบ โดยน้องๆนักศึกษาสาขาแพทย์แผนไทย
มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นวิทยากรในการจัดทำ
หลังจากดูการสาธิตคร่าวๆก็แยกย้ายไปเป็นกลุ่มเพื่อนจัดทำเป็นของตนเอง
เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่คุณตาคุณยายในบ้านพักคนชราแห่งนี้ที่มีจำนวนมากถึง 300
กว่าคน อาหารกลางวันเริ่มทยอยมาตั้งบนโต๊ะเมื่อเวลาใกล้เที่ยง ไม่นานกิจกรรมทำยาดมและลูกประคบก็เสร็จสมบูรณ์ทุกคนเอาผลงานของตนเองมาอวดเพื่อนๆ
และถ่ายรูปร่วมกันจากนั้นก็รับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน กับเมนูข้าวผัด พร้อมด้วย KFC
กลุ่ม 1 กล่องใหญ่ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อทำการมอบของขวัญให้แก่คุณตาคุณยาย
ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามกำหนดการที่ได้วางไว้
ผมได้นำยาดมและลูกประคบขึ้นไปให้คุณยายที่อยู่บนตึก
ซึ่งไม่สามารถลงมาร่วมกิจกรรมได้ หลังจากที่ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของคุณตาคุณยายแล้ว
ก็เข้าไปสอบถาม พูดคุยถึงชีวิตความเป็นอยู่ ว่าเป็นอย่างไร มีความสุขไหม
มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง พอได้พูดคุยประมาณ
2-3 คนก็พอทราบได้ว่าแท้จริงแล้วแต่ละคนก็มีภาพความทรงจำเก่าๆของตนเองอยู่เช่น
คุณยายจะยกมือไหว้เราทุกครั้งเวลาที่เราเอาของให้ เมื่อเอาไอศครีมให้คุณยายคุณยายก็บอกว่า
น่าจะเอาไปให้เด็กๆกินนะ
ถ้าให้ยายกินยายคงต้องซื้อเดี๋ยวยายจะเอาตังต์ให้
เมื่อเราอธิบายว่าไอศกรีมนี้เป็นของฟรี
ซึ่งธนาคารออมสินได้เตรียมไว้ให้พวกเราและคุณยาย คุณยายก็ไม่เข้าใจ
จะยังคงพูดว่าให้เราเอาไอศกรีมไปให้เด็กๆ เพราะเด็กๆชอบกิน จากการพูดคุยกับคุณตาคุณยายทำให้เราทราบว่าแท้จริงแล้วคนชราที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ต้องการเพียงการกินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใดคือ การได้รับความอบอุ่นจากลูกๆหลานๆ การได้พบปะพูดคุยกับลูกหลาน เพราะสิ่งเหล่านี้จะมาเติมเต็มความสุขของคุณตาคุณยาย
เสร็จสิ้นการมอบของให้กับคนชราแล้วก็ร่วมกันบันทึกภาพแห่งความประทับใจร่วมกันอีกครั้งหนึ่งบริเวณหน้าป้านบ้านพักคนชรา
จากนั้นก็ออกเดินทางไปยัง พัทยา ดอลฟิน เวิร์ด แอนด์รีสอร์ท สถานที่ซึ่งแสดงความสามารถของโลมาแสนรู้
การเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็วประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่หมาย
ทุกคนลงจากรถด้วยความตื่นเต้น
รวมทั้งผมด้วยเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวในสถานที่แห่งนี้ การตั้งแถวที่รวดเร็วทำให้เราเดินเข้าไปข้างในได้อย่างสะดวก
เพื่อรอชมการแสดงสดของโลมา การแสดงความสามารถของโลมานี้ 1 วันทีการแสดง
5 รอบ รอบที่เราไปดูคือรอบรองสุดท้ายคือ รอบ 15.00 น.
เมื่อถึงเวลาพี่ๆผู้ฝึกโลมาก็ปรากฏตัวบนเวทีข้างสระน้ำ
แล้วเริ่มการโชว์ความสามารถของโลมา มีทักษะอันหลากหลาย
ที่ท่าเต้นที่อินเทรนด์เอามากๆเลยทีเดียว ทำให้ทึ่งในความสามารถของโลมาทั้ง 4
ตัว การแสดงที่ดูน่าสนใจนี้ทำให้มีเสียงปรบมือให้กับการโชว์แต่ละจังหวะอย่างกึกก้อง
เมื่อการแสดงผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึง The
End Show นั่นคือ จบการแสดงนั่นเอง เดินออกมาข้างนอกอาหารแสดงร่วมถ่ายรูปกับเพื่อนๆ
ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนอบอุ่น และมีพี่ๆคอยดูแลอย่างดี สักพักมองท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มพี่ๆสตาฟได้เรียกพวกเราขึ้นรถอย่างเร่งด่วนเพื่อเดินทางกลับโรงแรม
และจัดทำแผนโครงการต่อ เป็นไปตามเวลาที่เรากำหนดประมาณ 15 นาทีสำหรับการเดินทางกลับ
พวกเรามุ่งตรงเข้าไปที่ห้องสัมมนาเพื่อทำการร่างโครงการลงบนแผนผัง
และเตรียมการนำเสนอ จากนั้นก็พักปรับประทานอาหารเย็นด้วยความเอร็ดอร่อย
พร้อมการพูดคุยกันในกลุ่ม 6 เสร็จสิ้นการรับประทานอาหารเย็นก็ทยอยเข้าสู่ห้องประชุมอีกครั้งเพื่อทำการนำเสนอแนวคิด
การจัดทำโครงการ ทั้งหมด 10 กลุ่ม นำเสนอกลุ่มละ 5 นาที
ทุกกลุ่มได้แสดงความสามารถในการสรุปประเด็นสำคัญในการการนำเสนอได้เป็นอย่างดี
โดยมีพี่ ดร.วิทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการและกล่าวสรุปให้ในแต่ละโครงการ
หลังจากลุ่มสุดท้ายนำเสนอจบพี่วิทย์ก็เชิญคณะกรรมการรวบรวมคะแนนแล้วพิจารณามอบทุนให้กับโครงการที่น่าสนใจ
โดยได้คัดเลือก 3 ใน 10 โครงการ
เพื่อมอบงบประมาณให้ในการทำความดีเพื่อสังคม โดยป้าบุษ
ได้ประกาศการคัดเลือกและให้ข้อคิดแก่พวกเรากลุ่มเมล็ดพันธุ์แห่งความดี
ถึงความตั้งในในการทำงานเพื่อสังคม และมีพระอรงเดช มาให้ข้อคิดก่อนนอน
หลังจากกิจกรรมเชิงวิชาการเสร็จสิ้นแล้วก็เข้าสู่ช่วงพักผ่อน
พวกเราพากันไปเดินเล่นริมหาดทรายด้วยความสบายใจ ถ่ายรูปด้วยกัน โดยมีพี่บูม
เป็นช่างภาพที่ดูมีความเชี่ยวชาญในเรื่องมุมกล้องเป็นอย่างดี จัดมาแต่ละภาพไม่เคยทำให้ผิดหวัง
เลยมีกลุ่มเพื่อนๆอยากเข้ากล้องของพี่บูมเป็นจำนวนมาก การพักผ่อนในยามดึกๆเช่นนี้ก็ได้บรรยากาศอีกแบบเพราะว่าเงียบสงบดี
นั่งคุยกันกับเพื่อนๆด้วยความสบายใจ เมื่อได้เวลาก็ขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง
เพื่อเตรียมพร้อมในวันสุดท้ายของการเข้าร่วมกิจกรรมในวันรุ่งขึ้น
เช้านี้ไม่มีมอรนิ่งคอลอีกแล้วเพราะพี่ๆสตาฟให้เวลาพวกเราตื่นสายได้ถึง
08.00 น. และพร้อมกันที่ห้องประชุมตอน 09.00 น.
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างตรงเวลา
อาหารเช้าอันหลากหลายเฉกเช่นทุกวันก็ยังคงวางเรียงให้เลือกตามใจชอบเช่นเดิม หลังจากที่ทุกคนรับประมานอาหารเช้าแล้วก็เข้าสู่กิจกรรมในวันสุดท้าย
ของการเข้าค่าย สิ่งที่ทุกคนมีติดมือคือ สมุดจดบันทึก
แต่ละคนยื่นให้กันอย่างชุลมุนเพื่อแลกอีเมลล์ เบอร์โทรติดต่อ และที่สำคัญคือ
ชื่อของเฟสบุ๊คแต่ละคน เพื่อใช้ในการติดต่อหากัน เป็นการสร้างเครือความดีอย่างหนึ่งที่เราทำได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท
เพียงมีอินเตอร์เน็ทใช้ก็พอ กิจกรรมรวมใจ รวมมิตร
ในยามเช้าประกอบกับการเล่นเกมทายภาพเป็นไปอย่างสนุกสนาน แฝงไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนรู้จักกันมากขึ้น ทุกคนได้พูดคุยกันมากขึ้น
กิจกรรมในยามเช้านี้จะเน้นการรู้จักสร้างเครือข่ายเป็นส่วนใหญ่ มีการถ่ายภาพร่วมกัน
การรับฟังข้อคิดดีดีจากพระ และจากผู้ใหญ่ใจดีเพื่อเก็บไปคิด
ต่อยอดความดีของตนเองให้มากยิ่งๆขึ้นไป เมื่อสมุดจดบันทึกของทุกคนเริ่มมีลายขีดเขียนด้วยปากกาและดินสอนไปพอสมควรก็เข้าสู่พิธีการเล็กน้อยคือ
มีการให้โอวาทจากผู้ใหญ่ใจดี และการกล่าวแสดงความรู้สึกของผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม
ซึ่งผมได้เป็นตัวแทนของกลุ่ม 6 ในการกล่าวความรู้สึก
และขอบคุณผู้ใหญ่ที่ทำให้มีโอกาสดีดีแบบนี้
ผมเริ่มต้นด้วยภาษาปกาเก่อญอ ทุกคนในห้องต่างพากันงง เนื่องจากว่าฟังไม่ออก
และผมก็ต่อด้วยการแปลด้วยภาษาไทยอย่างช้าๆ โดยมีใจความคร่าวๆว่า “มาวันนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนแล้วว่าธนาคารออมสินได้เข้าถึง
เข้าหา เด็กที่มีความดีจริงอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะภาคไหน ชนเผ่าอะไร การคว้าโอกาสเข้ามาหาตัว การใช้เวลาทุกๆวินาทีอย่างมีคุณค่า
เป็นสิ่งสำคัญเพราะสองสิ่งนี้ผ่านไปแล้วไม่สามารถนำกลับคืนมาได้เลย ฉะนั้นการทำความดีเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอ
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำความดี คือการทำดีต่อไปโดยไม่รู้จบ” ผมจบคำพูดลงด้วยเสียงปรบมือจากเพื่อนๆที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็ทำการส่งมอบดวงใจแห่งความรัก
ความผูกพันที่พวกเราชาวค่ายร่วมกันบันทึกลงไปในกระดาน เพื่อมอบให้ป้าบุษ และทีมงาน
เป็นการแสดงุคงความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราเหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่จะร่วมกันสานต่อความดีเพื่อสังคม
ก่อนที่พวกเราจะเดินทางกลับพวกเราได้ให้สัญญาใจซึ่งกันและกันว่าจะสานต่อความดีต่อไป ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น มุ่งมั่นทำแต่สิ่งดี และร่วมบันทึกภาพร่วมกันด้วยสื่อมวลชนที่ล้นหลาม (สื่อมวลชนสมัครเล่น) ก่อนที่พวกเราจะเดินทางกับทางธนาคารออมสินก็ได้มอบถุงขนมถุงใหญ่ให้พวกเราทานตอนเดินทางกลับแสดงความห่วงใยของพี่ๆที่มีต่อพวกเรา และความหวังดีที่อยากจะให้พวกเราได้มาพบกันอีก ขอขอบคุณธนาคารออมสินที่ได้จัดโรงการดีดีเช่นนี้ ขอขอบคุณพี่ๆสตาฟสำหรับการดูแลอย่างดี ขอขอบคุณเพื่อนๆชาวค่ายทุกคนที่ได้มาร่วมบันทึกความดีด้วยกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความดีนี้จะแพร่ขยายความดีออกไป เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีดีเพื่อสังคมต่อไป หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็จัดกระเป๋าขึ้นรถแยกย้ายเดินทางกลับตามเส้นทางของบ้านตนเอง ณ สถานที่แห่งนี้คงเหลือไว้เพียงความทรงจำดีดีที่พวกเราได้มาพบกัน เหลือไว้เพียงประสบการณ์อันทรงคุณค่า เหลือไว้เพียงความรู้สึกดีดีที่พวกเราได้ส่งมอบให้แก่กันและกัน นับจากนี้ต่อไปพวกเราคือเพื่อนกัน พวกเราคือกลุ่มเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่พร้อมจะสร้างสรรค์สิ่งดีดีเพื่อสังคมต่อไป
ก่อนที่พวกเราจะเดินทางกลับพวกเราได้ให้สัญญาใจซึ่งกันและกันว่าจะสานต่อความดีต่อไป ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น มุ่งมั่นทำแต่สิ่งดี และร่วมบันทึกภาพร่วมกันด้วยสื่อมวลชนที่ล้นหลาม (สื่อมวลชนสมัครเล่น) ก่อนที่พวกเราจะเดินทางกับทางธนาคารออมสินก็ได้มอบถุงขนมถุงใหญ่ให้พวกเราทานตอนเดินทางกลับแสดงความห่วงใยของพี่ๆที่มีต่อพวกเรา และความหวังดีที่อยากจะให้พวกเราได้มาพบกันอีก ขอขอบคุณธนาคารออมสินที่ได้จัดโรงการดีดีเช่นนี้ ขอขอบคุณพี่ๆสตาฟสำหรับการดูแลอย่างดี ขอขอบคุณเพื่อนๆชาวค่ายทุกคนที่ได้มาร่วมบันทึกความดีด้วยกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความดีนี้จะแพร่ขยายความดีออกไป เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีดีเพื่อสังคมต่อไป หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็จัดกระเป๋าขึ้นรถแยกย้ายเดินทางกลับตามเส้นทางของบ้านตนเอง ณ สถานที่แห่งนี้คงเหลือไว้เพียงความทรงจำดีดีที่พวกเราได้มาพบกัน เหลือไว้เพียงประสบการณ์อันทรงคุณค่า เหลือไว้เพียงความรู้สึกดีดีที่พวกเราได้ส่งมอบให้แก่กันและกัน นับจากนี้ต่อไปพวกเราคือเพื่อนกัน พวกเราคือกลุ่มเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่พร้อมจะสร้างสรรค์สิ่งดีดีเพื่อสังคมต่อไป
ดูภาพกิจกรรมได้ที่ http://noppadonyoopromdan.blogspot.com/2012/12/5.html
∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞
∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น