ประสบการณ์ในแดนมังกร

โครงการพัฒนาประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
กิจกรรมแลกเปลี่ยนยุวชนประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนาความรู้ด้านประชาธิปไตยประจำปี 2554
ระหว่างวันที่ 23-29 กรกฎาคม 2554
ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน
**************************************************

ประชาธิปไตยเป็นวิถีการปกครองที่ทั่วโลกให้การยอมรับว่า เป็นการปกครองที่มีปัญหาน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา พยายามๆส่งเสริมให้ประเทศอื่นๆรับเอาแนวคิดการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในการบริหารประเทศ มาถึงปัจจุบันนี้ มีประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกมากกว่า 50 % แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการปกครองที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้การยอมรับ และยินยอมที่จะมีการเลือกตั้งผู้นำที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ผมเองเป็นคนหนึ่งที่มีพื้นฐานการเรียนรู้ที่ไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตย เนื่องจากว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ผมเป็นชาวเขาเผ่าปกาญอคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน ระหว่างชายแดน ไทย-พม่า เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาขององค์พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัว ทำให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา ได้มีโอกาสพัฒนาตนเองในแวดวงการศึกษา เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย นับได้ว่าเป็นชีวิตที่โชคดีมาก เริ่มจากคนที่ไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว มาจนถึงวันนี้นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากในชีวิตของเด็กดอยคนหนึ่ง การเรียนรู้ของผมเริ่มนับศูนย์เมื่อตอนเข้าเรียนชั้นอนุบาล 1 ในโรงเรียนบ้านซิวาเดอ โรงเรียนบ้านเกิดผมเองครับ ในขณะนั้นมีครูแค่ 1-2 คนผลัดเปลี่ยนกันมาสอนนักเรียน โรงเรียนที่ห่างไกลความเจริญอย่างงี้ จะมีครูสักกี่คนที่อยากมาสอน นอกจากครูที่มีจิตวิญญาณของครูดอยจริงๆ ผมเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านซิวาเดอ จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะไม่เรียนต่อแล้ว เพราะว่าการเรียนในสมัยนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก พ่อแม่ของผมเองคงไม่มีเงินส่งเรียน ชีวิตต่อจากนี้ก็คงอยู่กับการทำไร่ ปลูกข้าว ไปวันๆ แต่งงาน และใช้ชีวิตอยู่บนดอยจนชีวิตจะหาไม่ แต่ด้วยความอยาก อยากที่จะเรียน อยากเจอสิ่งใหม่ๆ เพราะรู้อยู่เสมอว่า ในโลกนี้มีอะไรให้เรียนรู้มากมาย ผมต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้ จะต้องก้าวต่อไป จะถึงไหนที่ไหนนั้น ไม่สำคัญ ของให้เดินต่อไปบนถนนแห่งการศึกษาก็พอ จึงเป็นแรงผลักดันให้ผมเข้ามาเรียนในโรงเรียนบ้านห้วยสิงห์ ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ใช้เวลาศึกษาอยู่ในโรงเรียนบ้านห้วยสิงห์ 3 ปี จบมัธยมศึกษาตอนต้น จากนั้นก็เข้ามาเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนแม่สะเรียง บริพัตรศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นโรงเรียนประจำอำเภอแม่สะเรียง ผมใช้เวลาในการศึกษาอีก 3 ปี เมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนแม่สะเรียง บริพัตรศึกษา ก็มีโอกาสสอบเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในคณะศึกษาศาสตร์

ตลอดระเวลาแห่งการเรียนรู้ของผมนั้น ผมได้พยายามมุ่งมั่นทุ่มเท กับการเรียน การเรียนในมุมมองของผมนั้น ไม่ได้หมายถึงดารเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการเรียนรู้ทุกๆอย่างที่อยู่รอบๆตัวเรา แม้กระทั่งเพื่อนๆ ที่อยู่กับเรา เราก็ต้องเรียนรู้พวกเขา เพื่อที่จะให้เราอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นมิตร ด้วย



มุมมองแบบนี้ทำให้ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านรูปแบบกิจกรรม ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ใช้เวลาในการเรียนกับการทำกิจกรรมพอๆกัน บางคนถามผมว่า นภดล มาเรียนหนังสือหรือมาทำกิจกรรม ผมก็ให้คำตอบไปว่า การทำกิจกรรมนี่แหละคือการเรียนรู้ อาจเป็นเพราะการได้รู้จักกับคนอื่นๆที่เรายังไม่เคยเจอ การได้พบเพื่อนใหม่ การได้ทำงานร่วมกันกับคนอื่น เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเป็นเด็กกิจกรรมก็เป็นได้ ในขณะที่ผมทำกิจกรรมอยู่นั้นผมได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมได้เรียนรู้คือ การพัฒนาตนเองในด้านความเป็นผู้นำ มีการให้นิยามของคำว่าผู้นำไว้มากมาย แต่สำหรับผมแล้ว ผู้นำไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง เกียรติยศแต่อย่างใด หากแต่เป็นการกระทำของเราต่างๆหากที่จะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้นำหรือไม่ ผมได้ร่วมงานกับสภานักเรียน สภาเด็กและเยาวชน ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานเป็นตัวแทนเยาวชนในการบริหารงานขององค์กรเด็ก จากประสบการณ์ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้ผมเป็นคนที่มีใจรักในประชาธิปไตย คิดอะไร ทำอะไร พูดอะไร ต้องอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยทั้งหมด แต่หารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นั้น มันช่างตรงกันข้ามกับในอดีตมาก แต่ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องอดีต เพราะผมคิดว่าปัจจุบันสำคัญที่สุด ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคต ผมได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของเยาวชนแห่งประเทศไทยไปศึกษาดูงานด้านประชาธิปไตยในประเทศจีน เมื่อวันที่ 23-29 กรกฎาคม 2554 ทุกคนอาจจะงงว่า เอ้าประเทศจีนมันปกครองในระบบคอมมิวนิสต์นิ แล้วจะไปหาประชาธิปไตยได้ยังไง??? ผมขอนำคุณผู้อ่านเข้าสู่ทริปเลยดีกว่า และจะรู้ว่าถึงแม้ในระบบคอมมิวนิสต์ ก็ยังมีประชาธิปไตยแฝงอยู่ ไปกันเล้ยครับ........

กริ๊งงงๆๆๆ .......ๆๆๆๆ สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ นภดล ใช่ไหมค่ะ นี่พี่โทรมาจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรนะค่ะ ครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับพี่ อ๋อเปล่าหรอกคือพี่จะให้น้องส่งเมลล์ของน้องให้พี่แอมหน่อยอะ ผมยังงงอยู่ว่า เอาเมลล์ไปทำไมนิ แต่ด้วยการที่รู้จักพี่แอม และพี่ๆที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหลายคน ก็เลยส่ง SMS ไป ประมาณ 3 วัน ผมก็ได้ไปเปิดอีเมลล์ดูมีเอกสารชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นเอกสารที่สำนักงานฯเป็นผู้ออก มีใจความถึงการศึกษาดูงานเพื่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งมีอยู่ 3 ทริปด้วยกับคือ 1.ยุโรป 2. ศรีลังกา และ 3. คือสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากที่ศึกษาเอกสารดูแล้ว ได้โทรไปถามพี่แอม ได้การมากว่าผมได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการศึกษาดูงานเชิงเปรียบเทียบ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จากนั้นก็ติดต่อส่งเอกสารด้านการขอวีซ่า การจัดเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการเดินทางออกนอกประเทศให้กับพี่ๆที่สำนักงานฯ พอมาถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2554 ก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางเยือนแดนมังกร

วันแรกของการเดินทางผมและเพื่อนๆที่เรียนอยู่ใน มช.ด้วยกัน 3 คนก็ไปรอที่สนามบินเชียงใหม่ เพราะว่าเพื่อนๆที่มาจากต่างจังหวัด เค้าเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิมาลงที่เชียงใหม่ เพื่อออกเดินทางจากเชียงใหม่ไปนครคุนหมิง พอได้เวลาทุกคนก็พร้อมห้าพร้อมตากัน โดยมีท่านรองเลาขาธิการภาผู้แทนราษฎรเป็นหัวหน้านำคณะไป พวกเรายุวชนประชาธิปไตย ทั้งหมด 19 คน นั่งปรึกษากันเรื่องการเตรียมตัว การเขียนเอกสารในการศึกษาดูงาน เนื่องจากว่าผมเองเป็นยุวชนที่เคยศึกาดูงานต่างประเทศมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงถูกแยกออกไปอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อจัดกลุ่มใหม่ ในขณะที่รอเครื่องอยู่ ผมก็พูดคุยกันตามประสาเพื่อนๆรู้จักกันกัน



เพื่อนๆพี่ๆ เพราะว่าเราไม่ได้เจอหน้ากันนาน ไม่นานก็เสียงประกาศบอกให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับสายการบินไชน่าอีสเทินร์แอร์ไลน์ ให้ขึ้นเครื่องได้ พวกเราทุกคนต่างทยอยกันไปเช็คตั๋วแล้วเดินไปที่เครื่องบินที่กำลังรอรับผู้โดยสารอยู่ หลังจากที่แอร์โฮสเตสตรวจสอบจำนวนผู้โดยสารแล้ว กัปตันก็เริ่มเดินเครื่องออกสู่รันเวย์ ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆในสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ ในขณะที่เครื่องกำลังเร่งเพื่อเหินขึ้นสู่อากาศ รู้สึกตัวลอยยังไงไม่รู้ พอเครื่องวิ่งด้วยความเร็วพอที่จะขึ้นได้แล้ว กัปตันเครื่องก็นำเครื่องขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อมุ่งหน้าไปสู่สนามบินนครคุนหมิง

วันที่ 23 กรกฎาคม 2554

คณะศึกษาดูงานออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ โดยสายการบินไชน่าอิสเทินร์แอร์ไลน์ เราใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง ในการบินจากเชียงใหม่ไปลงที่สนามบินอูยาป้า แห่งนครคุนหมิง เราเดินทางถึงสนามบินเมืองคุณหมิงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม เมื่อเทียบเวลากับประเทศไทยนครคุนหมิงเลาช้ากว่าเราประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็เข้าที่พักและตรวจเอกสารการเดินทางและวางแผนการศึกษาดูงานในวันรุ่งขึ้น

วันที่ 24 กรกฎาคม 2554

ตื่นเช้ามารับประทานอาหารเสร็จก็ออกเดินทางจากโรงแรมตรงไปยังสนามบินอีกครั้งเพื่อออกเดินทางโดยสายการบินไชน่าอิสเทินร์แอร์ไลน์เพื่อไปยังเมืองต้าลี่ (Dali) เราใช้เวลาในการบินจากคุนหมิงไปต้าลี่ประมาณ 45 นาที เหตุผลที่เราต้องต่อเครื่องบินเพื่อไปยังเมืองต่างๆก็เพราะว่าคุนหมิงคือเมืองเอกของมณฑลยูนาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติ ส่วนเมืองเล็กๆอย่างต้าลี่ ไม่มีสนามบินนานาชาติ มีแต่รองรับสายการบินของประเทศจีนเท่านั้น หรืออาจจะมีแต่ไม่มีสายการบินจากไทยไปลงที่ต้าลี่ หลังจากผ่านไปประมาณ 45 นาที เครื่องก็ร่อนลงสู่สนามบินเมืองต้าลี่ โดยมีเจ้าหน้าที่ไกด์นำเที่ยวมาต้อนรับพวกเราอยู่ จากนั้นก็ขึ้นรถ เพื่อเริ่มต้นการศึกษาดูงาน สถานที่แรกที่เราไปศึกษาดูงานคือ ทะเลสาบเอ๋อไห่ ทะเลสาบเอ๋อไห่ อยู่ในเขตเมืองต้าหลี่ในมณฑลยูนาน กินเนื้อที่ 256 ตารางกิโลเมตร มีปริมาตรน้ำถึง 3,000ล้านลูกบาศก์เมตร มีความลึกตั้ง 20-30 เมตร จัดเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของจีน ทะเลสาบแห่งนี้มีรูปร่างคล้ายรูปใบหูของมนุษย์ เลยได้ชื่อว่าทะเลสาบ เอ๋อไห่ ( เอ๋อออกเสียงตรงกับคำว่าใบหู) ทะเลสาบเอ๋อไห่ ถูกขนาบด้วยภูเขา ชังซาน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่อยู่คู่กับทะเลสาบเอ๋อไห่มาแต่อดีต หากนักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมความงามของทะเลสาบ จะสามารถสัมผัสทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา ชังซาน ที่อยู่ด้านหลังเช่นกัน มีผู้คนแห่กันมาลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ดูแล้วอยากลงไปเล่นน้ำด้วย แต่เสียดายไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วย หลังจากสัมผัสบรรยากาศรอบๆทะเลสาบเอ๋อไห่เรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถมุ่งตรงไปยัง เจดีย์สามองค์ เจดีย์สามองค์ของเมือง ต้าหลี่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองต้าหลี่ก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเมืองต้าหลี่ไม่ควรพลาดชมสถานที่แห่งนี้เจดีย์สามองค์ตั้งอยู่ภายในวัด ฉงเซิ่งซื่อ ซึ่งในอดีตเป็นวัดหลวงของเจ้าผู้ปกครองเมืองต้าหลี่ ห่างจากเมืองต้าหลี่เพียง 1 กิโลเศษ เจดีย์องค์กลางมีความสูง 69 เมตร เป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยม 16 ชั้น สร้างในปี ค.ศ.823-859 ส้วนเจดีย์องค์เล็กที่ตั้งขนาบอยู่ด้านข้างนั้นมีความสูง 43 เมตร



แบ่งเป็น 10 ชั้น ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เจดีย์สามองค์ไม่ได้รับความเสียหายในคราวที่เกิดแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1925 ทั้งที่บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างในเมืองได้รับความเสียหายถึง 99% ชาวบ้านเชื่อว่าเจดีย์ทั้งสามมีความศักดิสิทธิ์ซึ่งภัยธรรมชาติไม่สามารถทำลายได้ หลังจากฟังไกด์แนะนำเสร็จแล้ว พวกเราก็ไม่รอช้า รีบเก็บภาพบรรยากาศรอบๆบริเวณนั้นกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะมุมกล้องในการถ่าย คิดแล้วคิดอีกว่า จะถ่ายอย่างไรให้รูปดูดี และแล้วก็เสร็จภารกิจการศึกษาดูงานที่เจดีย์ 3 องค์ จากนั้นก็ไปดูสินค้าขึ้นชื่อของต้าลี่ นั่นก็คือเครื่องถ้วยที่ทำจากหินอ่อน มีการสลักลายอย่างประณีต สวยงามมา และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ศิลปวัฒนธรรมของชนเผ่าไป๋ นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนเมือง ต้าหลี่ ต้องไปชมหมู่บ้านของชนเผ่า ไป๋ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่สำคัญของเมืองนี้ นอกจากท่านจะได้ชมบ้านของชาวไป๋อายุกว่าร้อยปี ภายในบ้านชนเผ่าไป๋ยังมีการแสดงพื้นเมืองและการคารวะแขกผู้มาเยือนด้วยชาสามรสด้วย ซึ่งใบชาที่ผลิตได้เฉพาะเมืองต้าหลี่นั้นจะถูกนำมาผิงบนเตาไฟภายในบ้านของชนเผ่าไป๋จนมีกลิ่นหอมแต่ไม่ไหม้ การนำน้ำชามาต้อนรับผู้มาเยือนของชาวไป๋จะรินชาแค่ครึ่งถ้วย เพื่อแสดงความจริงใจบ้าน ชาทั้งสามรสที่ชาวไป๋นำมารับรองแขกผู้มาเยือนนั้นได้แก่ ชาขม ชาหวาน และชาหวานที่มีรสเผ็ดซ่า ซึ่งแตกต่างจากชาทั่วไปที่เราได้ชิม ชา 3 รสนี้พวกเราได้ลองชิมดูไปพร้อมๆกับการชมการแสดงของชนเผ่าไป๋ในโรงละคร ซึ่งอลังการไปด้วย แสง สี เสียง ที่มีการเตรียมกันมาอย่างน่าประทับใจ มีสาวๆสวยมาเสริฟชาให้ เป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งเลยกับการอยู่ในโรงละครแห่งนี้ พอตกเย็นมาบรรยากาศน่าเดินเที่ยวมาก จึงเห็นตรงกันว่าเราน่าจะไปชมบรรยากาศที่เมืองเก่า ซึ่งนั่นก็คืออีกจุดมุ่งหมายหนึ่งที่อยู่ในโปรแกรม เมื่อเห็นตรงกันแล้ว พวกเราก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าไปเมืองเก่าต้าลี่ทันที ไกด์แดงเล่าว่า เมืองต้าหลี่เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติไป๋ ต้าหลี่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองคุนหมิง ห่างจากเมืองคุนหมิง 440 กิโลเมตร เมืองต้าหลี่เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อีกทั้งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจีนในมณฑล ยูนาน เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้าในสมัยราชวงศ์ ถัง และอาณาจักรต้าหลี่แห่งสมัยราชวงศ์ ซ่ง จนกลายเป็นศูนย์กลางการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของยูนาน มาเป็นเวลากว่า 500 ปี ทำให้เมืองต้าหลี่เต็มไปด้วยโบราณสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์

เมืองต้าหลี่เป็นเมืองสำคัญทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเส้นทางสายไหมโบราณ มีทัศนียภาพที่สวยงาม มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายกว่า 160 แห่ง เช่น ทะเลสาบเอ๋อไห่ ภูเขาชังซาน เจดีย์สามองค์ เมืองโบราณต้าหลี่ วัดพุทธและเจดีย์น้อยใหญ่มากมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีและชุดแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ของชนชาติไป๋ ทำให้เมืองต้าหลี่เต็มไปด้วยสีสันชวนท่องเที่ยว เมื่อรับฟังเรื่องราวของเมืองนี้แล้ว อดคิดถึงตอนเรียนมัธยมศึกาตอนปลายไม่ได้ที่เกี่ยวกับราชวงค์จีน กับการค้าในสมัยที่เส้นทางสายไหม มีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางการค้า ทำให้หวนคิดถึงตอนเรียนประวัติศาสตร์จีน กับอาจารย์เจียรนัย สังข์สุทธิพงศ์ อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์โรงเรียนแม่สะเรียงบริพัตรศึกษา อยากจะบอกอาจารย์ว่า สิ่งที่อาจารย์ได้สอนผมในวันนั้น วันนี้ผมได้เดินทางมาเห็นด้วยตัวเองแล้วครับ หลังจากดูงานด้านวิถีชีวิตในเมืองเก่าเสร็จแล้วก็ได้เวลารับประทานอาหารค่ำพอดี หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็เข้าที่พัก สรุปงาน แล้วพักผ่อนเอาแรงเพื่อเตรียมพร้อมกับการศึกษาดูงานวันต่อไป

25 กรกฎาคม 2554

มองนิ่งคอลดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าตื่นได้แล้ว ขณะนี้ต้องเตรียมตัวอาบน้ำลงไปทานข้าวแล้วเราจะออกเดินทางเพื่อท่องไปในโลกแห่งการเรียนรู้ต่อ หลังจากเสร็จภารกิจส่วนตัวแต่ต่างคนต่างก็เตรียมสัมภาระของตนเองขึ้นรถ ไกด์แดงบอกเราว่า วันนี้เราจะเดินทางไกล โดยรถนำเที่ยว (บัส) เราจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเพื่อมุ่งหนาไปยังเมืองลี่เจียง ทันทีที่ได้ยินคำว่าเมืองลี่เจียง ทำให้ผมคิดถึงตอนที่เรียนอยู่ในชั้นเรียนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่อาจารย์ให้เรามาอธิบายรูปภาพ ซึ่งกลุ่มของผมได้รูปภาพของเมืองลี่เจียง เมืองแห่งมรดกโลก คิดในในว่า วันนี้แหละ ผมจะได้เห็นของจริงละ ทันทีที่วางแผนการเดินเสร็จทุกคนต่างก็ขึ้นรถบัส พร้อมด้วยสัมภาระต่างๆ แล้วออกเดินทางด้วยความตื่นเต้นกับการเยือนเมืองจีน ในขณะที่รถกำลังแล่นอยู่นั้นป้าปุ้ย ผู้ใหญ่ที่นำพวกเราศึกษาดูงานในครั้งนี้ก็เชิญตัวแทนแต่ละกลึ่มออกมาพูดประเด็นที่ตนเองจดบันทึกมาจากการศึกษาดูงานที่เมืองต้าลี่ พวกเราก็ไม่รอช้าต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แต่ละคนได้เก็บเกี่ยวมาจากการดูงานเมื่อวาน แต่ละคนก็ประทับใจในประเด็นต่างๆกัน ซึ่งที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่งคือ การเปรียบเทียบการบริหารประเทศกับประเทศไทย ว่าภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์นี้ การบริหารจัดการสาธารณะมีความแตกต่างกับของไทย ในฐานะเป็นประชาธิปไตยอย่างไร กว่าจะถึงเมืองลี่เจียง ก็กินเวลาเข้าไปเกือบ 5 ชั่วโมง เนื่องจากว่าเส้นทางในการเดินทางเมืองลี่เจียง นั้น บางช่วงก็ไม่ต่างกับชนบท ที่เป็นโคลนนิดๆ ซึ่งรถไม่สามารถแล่นด้วยความเร็วสูงได้ จากการสังเกตสองข้างทางนั้น พบว่า การคมนาคมทางบกนั้น อยู่ในช่วงของการก่อสร้างทั้งสิ้น มีการวางเส้นทางสายใหญ่ เพื่อก่อสร้างไว้มากมาย แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของจีนกำลังก้าวไปสู้ความเป็นสากลแล้ว นอกจากนี้ไกด์แดงยังเล่าให้ฟังด้วยว่า จีนกำลังก่อสร้างรถไปฟ้าความเร็วสูงเพื่อเชื่อต่อระหว่างเมืองต้าลี่ กับเมืองลี่เจียง จากที่เราใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการเดินจะเหลือเพียง 30 นาที ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ผมก็คิดในในว่าอีกไม่นานจีนต้องกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกแน่เลย ตามที่หลายๆฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ หลังจากผ่านพ้น 4 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เข้าสู่เมืองลี่เจียง เมืองลี่เจียงนี้มีการแบ่งเขตเมืองออกเป็น 2 ส่วนคือ เขตเมืองเก่ากับเขตเมืองใหม่ ซึ่งแต่ละแห่งนี้มีวามแตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก ทั้งในด้านสิ่งก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน วิถีวิตของคนในเขตเมืองนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเยี่ยมชมเมืองเก่าลี่เจียง หรือที่รู้จนนามเมืองโบราณลี่เจียง แต่ก่อนที่จะไปดูงานที่เมืองโบราณนั้นเราต้องดูเมืองใหม่ก่อน เพื่อที่จะได้เป็นจุดเปรียบเทียบความแตกต่างในแต่ละด้ายของเมือง การศึกษาดูงานในเขตเมืองนี้เป็นการศึกษาด้วยตัวเอง คือ ไกด์จะอนุญาตให้เราเดินตามถนนด้วยตัวเอง และสังเกตวิถีชีวิตของผู้คน อีกทั้งดูลักษณะของสิ่งก่อสร้างที่มีความทันสมัย ขณะที่เดินไปตามประสานักท่องเที่ยวก็เจอหนุ่มสาวชาวจีนที่เป็นวัยรุ่นมากมาย ถ้าพูดถึงการแต่งกายก็คงเทียบได้กับวันลุ่ยไทยในเขต ประตูน้ำ เซนทราเวิลด์อะไรประมาณนั้น เพราะว่าความเจริญด้านวัตถุภายใต้ระบบทุนนิยมในแบบของจีนก็ขยายไปทั่วทุกเมือง ถึงแม้เมืองลี่เจียงจะเป็นเมืองที่ยังไม่ค่อยมีการพัฒนามากนัก แต่สังเกตจากอาคารสิ่งก่อสร้างก็เทียบได้กับเขตปริมณฑลของประเทศไทยเลยทีเดียว จากการจดบันทึกสิ่งต่างๆที่ได้พบเห็นจากการดูงานในเขตเมืองใหม่แล้ว ที่ขาดไม่ได้คือ เมืองโบราณ ในโปรแกรมต่อไป จากที่ศึกษาดูประวัติทำให้ทราบว่า เมืองลี่เจียงตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำ จินซาเจียง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑล ยูนาน ห่างจากเมืองเอกของมณฑล ยูนาน580 กิโลเมตรซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เมืองเก่าต้าเหยียน (Dayan old town) ลี่เจียงเป็น



เมืองท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์ มีทัศนียภายธรรมชาติที่งดงามชวนหลงใหล และเป็นภูมิลำเนาของชนเผ่าน่าซี

ลี่เจียงมีพื้นที่รวม 21,219 ตารางกิโลเมตร ประชากร 1.06 ล้านคน ประกอบด้วยอำเภอลี่เจียง อำเภอหย่งเซิ่ง อำเภอหวาผิง และอำเภอหนิงหลัง แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของลี่เจียงได้แก่ ภูเขาหิมะมังกรหยก แม่น้ำจินซาเจียง หุบเขาเสือกระโจน โค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง วัดยวี่ฟงซื่อ และเมืองโบราณลี่เจียง ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ที่เราจะศึกษาดูงานในวันต่อไป

เมืองลี่เจียงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ทางมณฑล ยูนานให้ความสำคัญในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมน่าซี และเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยถึง 21 ชนเผ่า และเป็นเมืองที่มีโบราณสถานที่ทรงคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจีน ย่านเมืองเก่าลี่เจียงมีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้มากกว่า 800 ปี และเคยเป็นจุดแลกเปลี่ยนค้าขายสินค้าตามเส้นทางสาย Tea Horse สายเก่า ย่านเมืองเก่านี้มีชื่อเสียงจากคูคลองและสะพานที่มีอยู่มากมาย จนได้รับการขนานนามว่า "เวนิสแห่งตะวันออก" 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ย่านเมืองเก่าลี่เจียง (ต้าเหยียน ไป๋ซา และซูเหอ) ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ตั้งแต่นั้นมา ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นต้องรับภาระหน้าที่ในการพัฒนาและอนุรักษ์ย่านเมืองเก่ามากขึ้น และยังทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จนมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยี่ยมชมเมืองเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้ชาวเมืองเกรงว่ากระแสการท่องเที่ยวและการพัฒนาที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว จะทำให้เมืองนี้สูญเสียเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ที่น่าประทับใจไป จึงมีมาตรการในการควบคุมระบบการจัดการของเมือง ทั้งการบริการสาธารณและการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวภายใต้วิถีชีวิตแบบจีน วันนี้ได้มีโอกาสชีอปปิ้งด้วย เพราะว่าภายในเมืองเก่ามีของที่ระลึกขายมากมาย แต่ละอย่างมีความสวยงามเฉพาะตัว ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับตกแต่ง โดยเฉพาะเครื่องเงินที่มีเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ การศึกษาดูงานยามเย็นเป็นด้วยความสนุกสนานแฝงไปด้วยรอยยิ้มของทีมงานทุกคน บางคนถึงกับพูดออกมาเลยว่า พูดภาษาจีนจนเมื่อยมืออะ อิอิ ไม่บอกก็คงเดาได้นะครับ เนื่องจากว่าพ่อค้าแม่ค้าชาวจีนแต่ละคนฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเลย นึกในใจว่า โห...ชาวจีนชาตินิยมขนาดนี้เลยหรอ แค่ถามว่าอันนี้ราคาเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้เรื่องเลย แต่ยังดีครับที่แต่ละร้านจะมีเครื่องคิดเลขไว้กดให้ลูกค้าดูว่า สินค้าแต่ละชนิดราคากี่หยวน ไม่งั้นคงเกิดการทะเลาะกันแน่ๆ สิ้นค้าบางร้านก็ถูก บางร้านก็แพง พวกเราก็ต่อราคากันไปตามประสาคนไทยอย่างเรา (ก็งบมันน้อยนิครับ อิอิอิ) พอเวลาค่ำๆมาก็เข้าที่พักที่มีการเตรียมไว้อย่างดีสำหรับกรุ๊ป วีไอพี อย่างพวกเรา โรงแรมที่เราไปพักนั้นเป็นโรงแรมเปิดใหม่ ข้างในมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทันสมัยทุกอย่าง แต่ภายนอกยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของจีนได้อย่างสวยสดงดงามมาก คือ ภายนอกอาคารเป็นแบบโบราณ แต่ภายในอย่างหรู เพื่อนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ พวกเราก็ไม่วายที่จะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ หลังจากเสร็จภารกิจในวันนี้ก็สรุปประเด็นที่ได้พบเจอและเปรียบเทียบกับประเทศไทย เพื่อสรุปลงแผ่นในในรูปแบของ Mind Mapping จากนั้นก็พักผ่อนเก็บแรงเพื่อดูงานในวันต่อไป ในขณะที่กำลังจะนอน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำเอาตกใจนิดๆ พอไปเปิดประตูปรากฏว่า ทีมงานที่ไปศึกษาดูงานด้วยกันนี่แหละ ขอไม่บอกว่าเป็น



ใคร แล้วก็ถามผมว่า ไม่ไปชื่นชมบรรยากาศในตอนกลางคืนหน่อยหรือ ตอนนี้เรามีแผนจะออกไปข้างนอก ซึ่งผู้ใหญ่อนุญาตแล้ว ไอ้เราก็ลังเลใจอยู่สักครู่ คิดไปคิดว่า ตกลงปลงใจเอาด้วยงานนี้ จากนั้นก็ออกเดินจากโรงแรมเลียบไปตามฝั่งน้ำคลองที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน ไม่น่าเชื่อเลยว่าบรรยากาศแห่งเมืองมรดกโลกในค่ำคืนจะเป็นอย่างงี้ ซึ่งเต็มไปด้วยร้านที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง ดูแล้วสวยงามอีกแบบหนึ่ง มีร้านเหล้า เทค บาร์ วัยลุ่ยชายหญิง ออกมาเต้นกันกลางเวที มีการเปิดเพลงเสียงดัง ประเด็นนี้ก็น่าสงสัยเหมือนกันว่า แล้วทางคณะกรรมการมรดกโลกไม่ว่าอะไรหรอ?? ทราบมาทีหลังว่า เมืองโบราณนี้เคยมีการขู่จากมรดกโลกแล้วว่า ถ้าไม่รักษาความเป็นเอกลักษณ์ไว้ก็จะถูกปลดออกจากมรดกโลก และรัฐบาลกลางของจีนก็บอกว่า จะปลดก็ปลดไม่ง้อ เพราะว่าไม่ได้เกี่ยวกับจีนสักหน่อย ในด้านการท่องเที่ยว ถึงแม้จะไม่ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ แต่เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เหลือเฟืออยู่แล้ว ช่างเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า จีนมีความมั่นใจมากกับการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชีย และในความเป็นจริงแล้วก็ต้องยอมรับในความเด็ดขาดของจีนครับ เพราะว่าจริงอย่างที่รัฐบาลกลางจีนบอกนั่นแหละ ถึงแม้ว่าไม่มีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวในจีน แค่ชาวจีนต่างมณฑลก็ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวของจีนขยายได้อย่างมากอยู่แล้ว หลังจากทราบข้อมูลนี้แล้วก็ทำให้รู้ว่าความเป็นเผด็จการของจีนนอกจากจะมีความชัดเจนด้านนโยบายแล้วยังมีความเป็นเอกภาพของระบบการจัดการทำให้ผมมองเห็นจุดเด่นของจีนที่ประเทศอื่นไม่มี

26 กรกฎาคม 2554

อีกหนึ่งวันกับการศึกษาดูงานในเมืองลี่เจียง เนื่องจากว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย จะให้ดูงานแค่วันเดียวก็คงไม่คุ้ม อีกวันของการศึกษาดูงานคือวันที่ 26 หลังจากที่ตื่นนอนทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้วก็ออกเดินทางจากโรงแรม เพื่อไปชมการแสดงของชนเผ่านาซี (Naxi) ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มากที่สุดในเมืองลี่เจียง การแสดงชุดนี้เรียกว่า จางอี้โหม่ว การแสดงชุดนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า IMPRESSION LIJIANG เป็นอีกหนึ่งผลงานโบร์แดงของผู้กำกับมือทอง จางอี้โหมว ซึ่งเป็นผลงานชิ้นที่สองต่อจากผลงานชิ้นแรกIMPRESSION LIU SAN JIE ที่เมืองหยางซั่วประสบความสำเร็จ เวทีการแสดงถูกสร้างขึ้นบริเวณใกล้กับภูเขาหิมะมังกรหยกเหนือระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร โดยใช้วิวจริงของภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลังประกอบการแสดง การแสดงในภาคนี้จะเป็นการสะท้อนเรื่องราวที่เกี่ยวโยงกับภูเขาหิมะมังกรหยกอัศักดิ์สิทธิ และประเพณีของชนกลุ่มน้อยของเมืองลี่เจียง ใช้ทีมนักแสดงชนกลุ่มน้อยพื้นเมืองกว่า 500 คน เป็นการแสดงในสถานที่จริงที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางภูเขาหิมะ การแสดงชุดนี้ใช้ทุนสร้างกว่า 250 ล้านหยวน หรือประมาณ1,250 บาท เป็นชุดการแสดงในสถานที่จริงสุดอลังการอีกชุดหนึ่งที่ผู้ไปเยือนเมืองลี่เจียงไม่ควรพลาด ขณะที่เราเดินเข้าไปนั้นมีการแจกหมวกสีขาวคนละ 1 ใบ โดยที่ให้เราหยิบเอง เพื่อเป็นที่ระลึก การแสดงชุดนี้สื่อถึงวัฒนธรรมของชนเผ่านาซีชัดเจนมาก ไกด์แดงเล่าให้พวกเราฟังว่า ชนเผ่านี้มีวัฒนธรรมที่แปลดอยู่อย่างหนึ่งคือ ผู้หญิงจะทำงานมากกว่าผู้ชาย ปกติผู้หญิงจะออกไปทำงานส่วนผู้ชายจะอยู่บ้านกินเหล้า พอได้ฟังแล้วเกิดความสนใจขึ้นมาทันที อิอิอิอิ (อย่าคิดลึก) หมายถึงสนใจทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ไกด์แดงบอกว่าเนื่องจากว่าชนเผ่านี้เชื่อในเทพเจ้า ที่อยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะภูเขาหิมะมังกรหยกที่เราจะไปในบ่ายวันนี้ เป็นที่สักการบูชาของชนเผ่า



นาซี ผู้ชายมีหน้าที่ในการสื่อสารกับเทพเจ้า และปกปักรักษาดินแดนของตนเอง เรื่องการทำมาหากินเลยตกเป็นงานของผู้หญิง หลังจากชมการแสดงแล้วโปรแกรมต่อไปคือ การพิชิตยอดเขาหิมะมังกรหยก โดยการนั่งกระเช้าขึ้นไป หลังจากจบการแสดงทุกคนต่างก็ทยอยออกจากโรงละคร และมุ่งหน้าสู่สถานีกระเช้าลอยฟ้า แต่การพิชิตยอดเขาดูออกจะง่ายกว่าการพิชิตสถานีกระเช้าลอยฟ้าเสียอีก เพราะว่าคนแน่มากๆๆๆๆ จนต้องเบียดเสียดกันเกือบแบน ก็ตามที่เรารู้ๆกันอยู่นั่นแหละในเรื่องของระเบียบวินัยของชาวจีนค่อนข้างเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาของคนทั่วโลกอย่างแล้ว หลังจากการพิชิตแถวออกมาได้แล้ว ยังนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าผมมาอยู่สัก 1-2 ปี นิสัยการขาดระเบียบวินัยคงติดตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่เลย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้ ประเด็นที่สำคัญในตอนนี้คือว่า ทุกคนต่างซื้อถังออกซิเจนติดตัวขึ้นไปคนละกระป๋อง เพราะไกด์แนะนำมาว่า บนยอดเขามีออกซิเจนเบาบางมากเราต้องเตรียมไปเผื่อหายใจไม่ทัน แต่สำหรับผมแล้วมั่นใจในสุขภาพร่างกายของตัวเองครับ เลยไม่ได้ซื้อขึ้นไป เพราะว่าปกติก็ออกกำลังกายอยู่แล้ว ปอดคงทำงานดี อิอิอิ หลังจากที่ผ่านประตูไปได้แล้วก็ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าไป นั่งกระเช้าขึ้นไปรู้สึกเสียวนิดๆ เนื่องจากว่าสูงมาก ใช้เวลาประมาณ10 นาทีประตูกระเช้าก็เปิดออก เจ้าหน้าที่บอกว่าถึงแล้ว พอเดินออกไปข้างนอก อากาศก็ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ เดินออกไปข้างนอกมองอะไรไม่ค่อยเห็น เต็มไปด้วยหมอก ถ่ายภาพก็ไม่ได้วิว ได้แต่ตัวเท่านั้น แต่ก็ยังมุ่งมั่นถ่ายรูปกันอยู่อย่างไม่ยอมหยุดยั้ง แต่ละคนก็เริ่มเอาถังออกซิเจนมาสูดเข้าปากเข้าจมูก สำหรับผมก็ถือว่าโอเค สบายๆ จากนั้นก็เตรียมตัวเดินขึ้นสู่ยอดเขาสูงสุด ไกด์แดงเล่าให้ฟังก่อนขึ้นไปว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก หรือ อวี้หลงเซี่ยซาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง เป็นภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่าน ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ทิวเขาแห่งนี้ประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งหุบห้วย ธารน้ำ แนวผา และทุ่งหญ้าน่าซี ทิวเขาแห่งนี้เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเป็นลักษณะคล้ายมังกรกำลังเลื้อย สีขาวของหิมะที่ปกคลุมอยู่นั้นดูราวกับหยกขาว ที่ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้า คล้ายมังกรขาวบนฟากฟ้า ทิวเขาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก JADE DRAGON SNOW MOUNTAIN สำหรับผู้ที่มาเยือน ลี่เจียง นั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องไปเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก จุดไฮไลท์ของเมืองลี่เจียง ภูเขาหิมะมังกรหยกประกอบด้วยยอดเขา12 ยอด ทันทีที่นั่งรถเข้าสู่เขตเมือง ลี่เจียง สิ่งที่ท่านจะได้เห็นเป็นสิ่งแรกเลยก็คือยอดเขาลี่เจียงที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดปี ยอดเขาหลักที่มีความสูง 5,596 เมตรจากระดับน้ำทะเลนั้นยังคงเป็นยอดเขาที่ยังไม่มีมนุษย์สามารถพิชิตได้ โดยน่าซีที่เป็นชาวพื้นเมืองของลี่เจียงนั้นเชื่อว่าภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาหิมะลูกนี้ยังเป็นภูเขาหิมะที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรที่สุดอีกด้วย การขึ้นยอดเขาหิมะมังกรหยกนั้นขึ้นได้สองทาง คือทาง หยุนซานผิง ที่มีความสูง 3,240 เมตร ส่วนอีกทางหนึ่งได้แก่ ด่านกระเช้าใหญ่บนความสูง 4,506 เมตร ณ จุดนี้เองที่เป็นที่ตั้งของลานสกีที่สูงที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย ทั้งสองจุดล้วนต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป หลังจากได้รับคำแนะนำดีดีจากไกด์แล้วก็พากันขึ้นไปพิชิตยอดเขาในที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาทีกับการเดินขึ้นบนยอดเขา ไปร่วมถ่ายรูปกับธงชาติประเทศจีนที่ปักอยู่ตรงยอดเขาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า วันนี้ผมสามาพิชิตยอดเขาหิมะมังกรหยกแห่งเมืองลี่เจียงได้แล้ว พวกเราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกับการอยู่ยอดเขาแห่งนี้จากนั้นลงนั่งกระเช้าลงจากยอดเขาแล้วกลับไปรวมตัวกันที่บริเวณที่มีการขายของที่ระลึก เส้นทางในการเดินออกจากสถานนี้กระเช้านั้นจำเป็นต้องผ่านร้านขายของที่ระลึกทุกเส้นทาง แสดงให้เห็นถึงการจัดรูปแบบการ



ขายของเพื่อส่งเสริมการค้าขายในรูปแบบที่ดีอย่างหนึ่ง ถึงแม้คุณจะไม่ซื้อ แต่อย่างน้อยก็ได้เดินผ่าน เดินออกมาแล้วก็ตรงไปที่รถ พอทุกคนครบแล้วรถพาทัวร์ของเราก็เริ่มขับเคลื่อนไปที่หมู่บ้าน้ำหยก หมู่บ้านน้ำหยกตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาหิมะมังกรหยก ด้านทิศเหนือของเมืองลี่เจียงห่างจากตัวเมืองลี่เจียง 15 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านพื้นเมืองเล็ก ๆ ท่ามกลางทิวทัศน์สวยงามตามหลัก ฮวงจุ้ย ( ด้านหน้ามีน้ำ ด้านหลังมีภูเขา ) น้ำที่นี่จะเป็นน้ำใสที่มีสีเขียวคล้ายหยก จนเป็นที่มาของหมู่บ้านน้ำหยก น้ำที่ไหลมาที่หมู่บ้านนั้นมีที่กำเนิดมาจากน้ำผุบนภูเขาใต้ต้นไม้ยักษ์อายุกว่าพันปี สองต้น ปัจจุบันหมู่บ้านน้ำหยกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 4 A ของจีน ในน้ำมีปลาแซลมอลเยอะมาก ว่ายขวักไขว่กันเต็มบ่อเลย นอกจากนี้แล้วยังมีจามรีให้เราขี่แล้วถ่ายรูปด้วย แต่จะมีค่าทำเนียมคนละ 10 หยวน(ประมาณ 50 บาท ไทย) หลังจากที่เก็บภาพบรรยากาศกันอิ่มหนำสำราญแล้วก็ขึ้นรถไปยังวัดยอดหยก วัดยอดหยกสร้างในสมัยราชวงศ์ ชิง ในแบบของสถาปัตยกรรมผสมผสานของจีนชาวฮั่น ชนเผ่าไป๋ และชนเผ่าจั้ง จุดที่น่าสนใจของที่นี่คือต้นดอก “ซันชาฮวา” อายุกว่า 500 ปีต้นหนึ่ง ( เป็นไม้ดอกชนิดหนึ่งที่มีดอกที่สวยงามพบในเขตที่ราบสูงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน )โดยต้นดอก ซันชาฮวา ที่ว่านี้มีความสูงเพียง 3 เมตรเศษ มีลักษณะเป็นพุ่มที่มีรัศมีเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 3 เมตร เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ( เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน )ต้น ชาฮวาจะเริ่มมีดอกเบ่งบานเต็มต้น ดอก“ซันชาฮวา” จะผลัดกันบานราว 20 ครั้ง ครั้งละกว่าพันดอก รวม 2 หมื่นกว่าดอกในแต่ละปี ต้นไม้ดอกดังกล่าวที่ขนานามว่าเป็นไม้มหัศจรรย์บนที่ราบสูง งานนี้ก็ถ่ายรูปใต้ต้นไม้อัศจรรย์ต้นนี้ ทั้งรูปเดี่ยวและรูปหมู่ บางกล้องก็ถ่ายจนเมมโมรี่เต็มเลย แต่หารู้หรือไม่ว่า สำรองในกระเป๋าอีก 4-5 เมมโมรี่ งานนี้กะจะเก็บภาพไปให้คุ้มเลยทีเดียว ลงมาจากวัดแล้วพวกเรามุ่งหน้าสู่สระมังกรดำ เที่ยวลี่เจียง ต้องชมสระน้ำมังกรดำ สระน้ำมังกรดำ (Heillongtan, Black Dragon Pool)เป็นแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมือง ลี่เจียง ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา เซี่ยงซาน น้ำในสระน้ำแห่งนี้เป็นน้ำผุที่มีจุดกำเนิดตรงตีนเขาซึ่งห่างออกไป 1 กิโลเมตร น้ำในสระมีความใสสะอาดจนมองเห็นก้นสระที่เต็มไปด้วยพืชใต้น้ำสีเขียว ทำให้มองไกล ๆ จะเห็นน้ำเป็นสีเขียว ที่แห่งนี้เดิมเป็นศาลเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1737 ภายหลังได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนกลายเป็นสระน้ำมังกรดำในเวลาต่อมา นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายภาพสระน้ำที่มีภาพของภูเขาหิมะมังกรหยกซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปเป็นแบ็คกราวน์ ซึ่งจะได้ภาพสระน้ำ สะพานหินโค้ง และศาลาที่มีฉากหลังเป็นภูเขาที่มียอดเขาที่ขาวโพลนเพราะถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภาพที่ถ่ายออกมานั้นสวยงามมากเนื่องจากว่าช่วงเวลาที่ไปศึกษาดูงานตรงจุดนี้ได้เวลาเย็นๆพอดีภาพที่ถ่ายออกมาก็เลยถูกใจช่างภาพเป็นพิเศษ หลังจากที่เสร็จภารกิจจากการศึกษาดูงานในวันนี้แล้วตกเย็นมาก็กลับไปรับประทานอาหารที่ภัตคาร ชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองลี่เจียง เป็นที่กล่าวขานกันมากในหมู่เพื่อนๆที่ไปด้วยกับเกี่ยวกับอาหารจีน เนื่องจากว่ารสชาติสู้ของไทยไม่ค่อยได้เลย รสชาติอาหารจีนมีลักษณะเด่นคือ จืด จืด และจืด งานนี้ทำเอาร้านอาหารที่เสริฟอาหารมาหัวเราเลยทีเดียวเพราะว่าเสริฟมาเท่าไหร่ก็เหลือเท่านั้น อิอิอิ อันนี้แค่บางเมนูนะครับ ส่วนบางเมนูก็ทานได้ อย่างเอร็ดอร่อยเลยทีเดียว สรุปก็คือ มีทั้งอร่อยและไม่อร่อย ก็เป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมการกินของชาวจีนแบบหนึ่ง ได้ลิ้มลองเป็ดปักกิ่ง ผักต้มของจีน ไก่ดำต้ม เป็นต้น การสรุปงานวันนี้ความเข้มข้นเปนพิเศษหน่อยเนื่องจากว่าเราต้อง





สรุปของเมื่อวานด้วย และของวันนี้ด้วย หลังจากที่แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกันแล้วก็เข้าที่นอนพักผ่อนเพื่อเก็บแรงออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

27 กรกฎาคม 2554

วันนี้ตื่นเช้ามาได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว หลังจากที่สัมภาระขึ้นรถเรียบร้อยล้อรถก็หมุนทันที โปรแกรมต่อไปคือ เมืองจงเตี้ยนหรือที่รู้จักกันในนาม แชงการีล่า ระหว่างการเดินทางก็แวะชมโค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียงซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของเมือง จงเตี้ยน ห่างจากเมืองจงเตี้ยน 130กิโลเมตร เป็นการเลี้ยวหักเป็นรูปอักษร V ของแม่น้ำ จินซาเจียง ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำแยงซีเกียง จากแนวไหลเดิมที่จากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ มาเป็นการไหลจากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก จนกลายเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของจีน ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดที่ต้นแม่น้ำแยงซีเกียงมีการเปลี่ยนทิศทางการไหลแบบ 180 องศา จนเป็นที่มาของคำว่าโค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งหมายถึงโค้งแรกบริเวณต้นน้ำ และโค้งที่สวยเด่นที่สุดของแยงซีเกียงนั้นเอง นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องเล่าที่ชาวจีนเชื่อกันว่า แม่น้ำสามสายเป็นพี่น้องกันคือ แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำโขง ในบรรดาแม่น้ำทั้งสามนี้ แม่น้ำแยงซีเกียงได้รับฉายาว่าเป็นแม่น้ำแห่งความกตัญญูเพราะว่าเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ไหลไปแล้วยังกลับทิศทางเพื่อหล่อเลี้ยงชาวจีนอยู่ ซึ่งต่างจากแม่น้ำสาละวินกับแม่น้ำโขงที่ไหลลงสู่ทะเลทันทีเลย จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ ช่วงที่เดินทางจากเมืองลี่เจียงไปเมืองแชงกี่ล่านี้ระยะทางไกลพอสมควรเป็นช่วงเวลาของการพักสายตาสำหรับนักเดินทางอย่างพวกเรา เผลอหลับไปแป๊บเดียวตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อไกด์บอกพวกเราว่าเราเดินทางมาถึงทางเข้าช่องแคบเสือกระโจนแล้ว ก่อนทางเข้าไปที่ช่องแคบเสือกระโจนมีอนุสาวรีย์ตั้งกระง่านอยู่ตรงทางเข้า ทุกคนเลยลงไปถ่ายรูปร่วมกัน เป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามมาก หุบเขาเสือกระโจนตั้งอยู่บริเวณจุดผ่านของแม่น้ำทั้งสามทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑล ยูนาน หุบเขาเสือกระโจนเป็นหุบเขาที่ลึกและมีความหวาดเสียวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เกิดจากการซัดเซาะของแม่น้ำ จินซาเจียง ทำให้เกิดเป็นช่องแคบที่มีความยาว 16 กิโลเมตร และมีความสูง 3,000 กว่าเมตร หุบเขาเสือกระโจนแบ่งเป็นสามช่วง ได้แก่ ช่วงบน ช่วงกลาง และช่วงล่าง หน้าผาสองข้างแม่น้ำมีความชันเป็นแนวดิ่ง ช่วงที่กว้างที่สุดของแม่น้ำมีความกว้าง 60-80 เมตร ส่วนช่วงที่แคบที่สุดมีดวามกว้างเพียง 30 เมตร ซึ่งเล่ากันว่าเป็นความกว้างที่เสือสามารถกระโดดข้ามได้ จนเป็นที่มาของคำว่าหุบเขาเสือกระโจน ชมหุบเขาเสือกระโจนตั้งอยู่ระหว่างทางจากเมืองลี่เจียงไปยังเมืองแชงการีล่า ถ้านั่งรถมาจากเมืองลี่เจียงจะใช้เวลาเดินทางราว ๓ ชั่วโมง เป็นจุดชมวิวที่ผู้มาเยือนแชงการีล่าไม่ควรพลาดชม วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ถ่ายรูปได้มากที่สุดเพราะว่าบรรยากาศน่าถ่ายรูปมาก โดยเฉพาะช่องแคบเสือกระโจนนี้ มีวิว สวยงามมาก ทุกอย่างไปได้สวยครับ แต่มีปัญหาตรงขานกลับนิดหนึ่งครับ เนื่องจากว่าเกินการชนของรถคันหนึ่ง ไม่ใช่รถเรานะครับแต่เป็นรถที่อยู่ข้างหน้าเราไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร มองดูแล้วรถติดยาวเป็นแถวเลย เนื่องจากว่าทางมันแคบ พนักงานขับรถก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ถึงขนาดทุกคนในรถต้องเงียบเพื่อให้โชว์เฟอร์เราใช้สมาธิในการขับรถ ต้องบอกเลยว่าทางมันเสียวจริงๆ ภาวนาอย่างให้ตกเหวเท่านั้นแหละ ถ้าตกขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นประเทศไทยแน่ หลังจากที่รถติดยาวเป็นชั่วโมงในที่สุดก็แก้ปัญหาได้ เพราะว่าตำรวจ



จีนเก่งอยู่แล้ว (หลับรอเป็นชั่วโมงเนี๊ยนะ เก่า) ก็ถือว่าเป็นอุบัติเหตุก็ไม่ว่ากัน คนเราก็มีผิดพลาดกันได้เป็นธรรมดา หลังจากที่ออกจากช่องแคบได้แล้วก็มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแชงกีล่า ระหว่างทางได้เห็นบรรยากาศอีกมากมาย เช่น ภูเขาหิมะ “เหมยหลี่” ภูเขาหิมะ “เหมยหลี่” ตั้งอยู่บริเวณจุดรวมตัวของแม่น้ำสามสาย ได้แก่ แม่น้ำ จินซาเจียง แม่น้ำลั่นชางเจียง ( แม่น้ำโขงตอนบน )และแม่น้ำนู่เจียง ด้านทิศเหนือติดกับภูเขา อาตงเก๋อหนีในทิเบต ทิศใต้ติดกับภูเขาหิมะปี้หลัว ยอดเขาที่สูงที่สุดมีความสูง 6,740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในมณฑล ยูนาน ยอดเขานี้มีลักษณะค้ลายเจดีย์ทอง และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในยอดเขาศักดิ์สิทธิของเขตที่ราบสูงทิเบต บนภูเขาหิมะเหมยหลี่ยังมีธารน้ำแข็งถึง 4 แห่ง ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ธารน้ำแข็ง “หมิงหย่ง” โดยธารน้ำแข็งดังกล่าวทอดตัวจากบนภูเขาหิมะเหมยหลี่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 6740 เมตร ลงมายังเขตป่าดงที่อยู่ด้านล่างที่ระดับน้ำทะเล 2700 เมตร ด้วยความยาว 11.7 กิโลเมตร นับเป็นธารน้ำแข็งที่ทอดตัวลงมาทางทิศใต้มากที่สุดของจีน แต่เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การละลายของธารน้ำแข็งที่ขยายตัวเร็วขึ้น ทำให้ธารน้ำแข็งนี้มีการหดตัวราวปีละ 50 เมตร ซึ่งทีมงานเราก็ลงเก็บภาพบรรยากาศเป็นช่วงๆไป ตรงไหนที่เห็นว่าวิวสวยก็ไปเก็บมา แบบไม่ให้พลาดเลยแม้แต่ช็อตเดียวอะ วันนี้เดินทางถึงแชงกีล่าประมาณ 4 โมงเย็น อันดับแรกคือการ ไปศึกษาดูงานในเขตเมืองเก่าของเมืองแชงกีล่า ไปหาซื้อของที่ระลึกกลับมาฝากเพื่อนๆ โดยเฉพาะหวีที่ทำมาจากเขาจามรี ซึ่งเป็นสัตว์ในเขตหนาว เชื่อกันว่าถ้าเอาหวีที่ทำจากเขาจามรีไปหวีผมแล้วผมจะไม่ร่วง งานนี้ทำเอาผมเหมาซื้อไป 10 อัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเอามาฝากใคร อิอิอิ บรรยากาศในเมืองเย็นสบายแบบบอกไม่ถูกถึงขั้นขนลุกเลยทีเดียว ตกเย็นมาก็เข้าที่พักสรุปการศึกษาดูงานที่ผ่านมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณะที่ไปศึกษาดูงานด้วยกัน ทำให้ได้ข้อคิดต่างๆมากมาย จนรู้สึกหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเมืองแซงกีล่าซะแล้ว และแล้วทุกอย่าง สมบูรณ์ ได้เวลาพักผ่อน

28 กรกฎาคม 2554

เข้าสู่วันที่ 6 ของการศึกษาดูงาน คือ วันที่ 28 กรกฎาคม 2554 วันนี้เราอยู่ที่เมืองแชงกีล่า หลังจากที่เราเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัวแล้วทุกคนก็ลงมาทานข้าวเช้าด้วยกัน และวางแผนการออกเดินทางศึกษาดูงานของวันนี้ ที่แรกที่เราไปศึกษาดูงานในเมืองแชงกีล่าคือ วัด ซงจ้านหลิน ซึ่งเป็นวัดลามะที่ใหญ่ที่สุดของมณฑล ยูนานทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1679 อยู่ห่างจากตัวเมืองแชการีล่า 5 กิโลเมตร องค์ดาไลลามะที่ห้าของทิเบตเป็นผู้เลือกสรรสถานที่สร้างวัดแห่งนี้หลังกราบทูลจักรพรรดิ คังซีแห่งราชวงศ์ ชิง และจักรพรรดิ คังซีได้พระราชทานนามว่า กุยฮว่าซื่อ หลังจากลงรถแล้วทุกคนต่างถ่ายรูปกัน เนื่องจากว่าถ้าขึ้นไปข้างบนแล้วไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป พอถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปสักการะข้างในวัดซึ่งมีพระลามะให้พรอยู่ การทำบุญนั้นก็ขึ้นอยู่กับศรัทธาของแต่ละคน ว่าอยากทำบุญเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็ไปหมุนโชคหมุนลาภกับระฆังใบใหญ่ที่อยู่ในวัด พอเวลาทุกคนก็ลงมารวมตัวกันเพื่อ เดินทางไปเยี่ยมชมทะเลสาบต่อ ซึ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ อุทยานธรรมแห่งชาติน่าผ้าไห่ อุทยานธรรมชาติน่าผ้าไห่ ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองชนเผ่าจั้งตี๋ชิง ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองแชงการีล่าห่างจากเมืองแชงการีล่าราว8 กิโลเมตร



อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,266 เมตร มีเนื้อที่ 2,135 ตารางกิโลเมตร เป็นอุทยานธรรมชาติบนที่ราบสูงและผืนทุ่งหญ้าที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองจงเตี้ยน ขณะที่นั่งรถขึ้นไปนั้นไกด์เตือนเราอยู่บ่อยๆว่าห้ามหลับเนื่องจากยิ่งขึ้นไปยิ่งสูง ปริมาณออกซิเจนยิ่งย้องลง บางทีถ้าหลับแล้วอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย ไกด์ทำเอาทุกคนไม่กล้าหลับเลย แต่เสียอยู่อย่างเดียวขณะที่ขึ้นนั้นเกิดฝนตก ทำให้มองดูวิวได้ไม่ค่อยชัดเท่าที่ควร และเสียอีกอย่างคือไม่ค่อยได้ถ่ายรูปด้วย อิอิอิ จุดเด่นของอุทยานแห่งนี้อยู่ที่ทะเลสาบกลางทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่และถูกโอบล้อมด้วยภูเขาหิมะ หน้าฝนจะมีน้ำไหลสู่ทะเลสาบ ทำให้ทะเลสาบมีขนาดใหญ่ขึ้น และทะเลสาบจะมีขนาดเล็กลงในหน้าแล้งเมื่อน้ำในทะเลสาบไหลออก ณ อุทยานธรรมชาติแห่งนี้ยังเป็นที่พำนักของนกกระเรียนคอดำ ซึ่งเป็นสัตว์ปีกคุ้มครองที่หายากของโลก โดยฝูงนกดังกล่าวจะบินมาพำนักที่อุทยานแห่งนี้ตั้งแต่เดือนกันยายน – เดือนมีนาคมของทุกปี การศึกษาดูงานในอุทยานนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากว่าฝนตก ทำให้ไม่มีโอกาสได้ลงไปเก็บภาพบรรยากาศ จากนั้นก็ลงจากเขามา เข้าเมืองแชงกีล่า เพื่อเข้าไปเช็คอินในโรงแรม สำหรับคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ในเมืองแชงกีล่า ไม่ได้เก็บบรรยากาศในช่วงกลางคืนก็กระไรอยู่ ก็เลยชวนกันกับเพื่อนๆทีมงานทุกคน ออกไปเที่ยว ชมบรรยากาศในยามค่ำคืน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น แต่มีจุดที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยเห็นวัยรุ่นชายหญิงออกเที่ยวในตอนกลางคืนเลย แม้แต่ออกมาซื้อของยังไม่ค่อยพบเห็นเลย จึงเป็นคำถามที่ค้างอยู่ในใจ เพื่อกลับมาถามผู้รู้ ตอนหลังทราบมาว่าประเทศจีนนั้น รัฐบาลกลางมีนโยบายในการควบคุมประชากรที่เกิดใหม่ โดยให้มีบุตรได้ไม่เกิน 2 คน (ชนเผ่า) สำหรับคนที่อยู่ในเมืองมีบุตรได้ 1 คน (ภายหลังแก้เป็น 2 คน) จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่ค่อยเห็นวัยรุ่นในเมือง เพราะว่าเยาวชนที่โตขึ้นก็เข้าไปศึกษาต่อในเมือง ทำให้เมืองที่อยู่ตามชนบทนั่นดูค่อนข้างเงียบเหงา บรรยากาศในวันนี้เต็มไปด้วยความประทับใจที่ได้มาเยือนเมืองแชงกีล่า เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ จากนั้นก็เดินทางไปยังสนามบินเมืองแชงกีล่าแล้วเดินทางกลับนครคุนหมิงโดยสายการบิน ไชน่าอิสเทิร์นแอร์ไลน์ ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็บินมาถึงสนามบินฮูยาป้า แล้วเข้าที่พัก เพื่อสรุปบทเรียนที่ได้จากการศึกษาดูงาน จากนั้นก็แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสิ่งที่พบเจอ เพื่อสรุปองค์ความรู้ที่เกิดจากการเปรียบเทียบการปกครองของไทยและของสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากนั้นก็เข้านอนอย่างสบายใจ

29 กรกฎาคม 2554

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ในประเทศจีน หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จก็รวมกลุ่มกันเพื่อไปช๊อปปิ้ง ซื้อของที่ระลึก ซื้อขนม เพื่อนำมาฝากเพื่อนๆในประเทศไทย งานนี้ผมซื้อกระเป๋าฝากน้องชาย ซื้อขนมมาหนึ่งกล่อง ขนกลับมาอย่างทุลักทุเลง เนื่องจากว่าค่อนข้างหนัก ประมาณ 11 โมงทุกคนก็กลับมาพร้อมกันที่โรงแรม เพื่อเตรียมสัมภาระ แพ็คของใส่กระเป๋าเตรียมเดินทางไปยังสนามบินเพื่อบินกลับประเทศไทย หลังจากที่ทุกคนพร้อมแล้วก็ออกเดินทางจากโรงแรมไปยังสนามบินนานาชาติของนครคุนหมิง รู้สึกใจหายนิดๆที่ต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว แต่ตลอดระยะ 7 วันที่ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนมังกรแห่งนี้ก็ทำให้ได้รับประสบการณ์มากมายและจะยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไกด์นำเที่ยวของเรา (ไกด์แดง) ที่สร้างบรรยากาศในการเที่ยวอย่างสนุกสนานและมีแต่ความประทับใจตลอดการ



ท่องเที่ยวศึกษาดูงานในครั้งนี้ พวกเราร่วมเก็บภาพกับไกด์นำเที่ยวของเราด้วยความรู้สึกดีดี และมอบของที่ระลึกให้กับไกด์เพื่อเป็นตัวแทนความรู้สึกดีดีและเป็นการขอบคุณสำหรับการดูแล ประสานงาน ในทุกๆอย่างตลอดการอยู่ในแดนมังกรแห่งนี้ หลังจากที่โหลดกระเป๋าเข้าท้องเครื่องเรียบร้อยแล้วก็รอเวลาขึ้นเครื่องอย่างเดียว ในขณะที่รอขึ้นเครื่องพวกเราก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เรามาร่วมกับสรุปประเด็นในการศึกษาดูงานโดยภาพรวมเพื่อส่งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เก็บไว้เป็นผลงานของยุวชนประชาธิปไตยประจำปี พ.ศ. 2554 พอได้เวลาทุกคนก็เก็บสัมภาระมุ่งตรงไปยังช่องตรวจสอบหนังสือเดินทางของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร เราแสดงหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ดู และเจ้าหน้าที่ปั๊มตราอนุญาตออกจากประเทศ จากนั้นก็ตรงไปยังเครื่องบินของสายการบินไทย เราใช้เวลาในการเดินทางกลับประมาณ 4 ชั่วโมง รู้สึกว่าเวลา 4 ชั่วโมงช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเครื่องก็ลงจอดยังสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปแล้วพวกเราก็ช่วยกันรวบรวมเอกสารส่งพี่ๆที่เป็นผู้ดูแล จากนั้นแต่ละคนต่างก็เดินทางกลับบ้านของตนเอง

ดูรูปได้ที่นี่  http://noppadonyoopromdan.blogspot.com/2011/08/blog-post_6970.html

ประสบการณ์ในแดนมังกร

ท่องยุโรปไปกับยุวชนประชาธิปไตย

ท่องยุโรปไปกับยุวชนประชาธิปไตย
ประสบการณ์ในการทัวร์ยุโรปมา ช่างเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นจริงๆ และผมก็มีรูปภาพสวยๆมาฝากกันมากมายเลยทีเดียวครับ ก็ขอเชิญเยี่ยมชมได้เลยครับ ไปกันเล้ยยยๆ!!!!!