วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ว่าด้วยชุดความรู้ (Knowledge)

เมื่อพูดถึงเรื่องความรู้ในแวดวงวิชาการมักย่องย่องว่าเป็นชุดความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เข้ามาอธิบายสิ่งต่างๆ เพราะชุดความรู้เป็นกรอบในการตีค่า ให้นิยาม ตลอดจนกำหนดลักษะณะของสิ่งต่างๆที่เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วเราจะเห็นอิทธิพลของชุดความรู้ต่างๆที่เข้ามากำหนดขอบเขตการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งปวง ทั้งหมดนี้มันแฝงไปด้วยอคติทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าแฝงมากหรือแฝงน้อยเท่านั้นเอง เพราะจากประวัติศาสตร์การเรียนรู้ที่ผ่านมานั้น ความรู้ไม่ได้เกิดขึ้นที่รัฐ หรือไม่ได้เกิดขึ้นที่หลักสูตรแบบเรียนแต่อย่างใด หากแต่เป็นองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นบนฐานของความจริง ในชีวิตประจำวันโดยทั้งสิ้น  สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมของผู้คนจะเป็นตัวกำหนดชุดความรู้ และอธิบายสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา  เหตุผลที่ชุดความรู้เข้ามามีอำนาจในการตีค่าสิ่งต่างๆก็เพราะว่ายุคสมัยที่เราให้คุณค่ากับข้อมูลมากกว่าสิ่งอื่นๆ เช่น การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นเครื่องมือและสร้างการยอมรับจากมนุษยชาติ

ในสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุคแต่ละสมัยแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวของชุดความรู้อย่างชัดเจน เราเห็นความสงสัยในตัวมนุษย์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด เมื่อสงสัยก็นำมาซึ่งการแสวงหาคำตอบ และการหาคำตอบนั้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วิธีการเดียว แต่วิธีการที่ได้รับการยอมรับมากกว่าเท่านั้นที่จะเป็นตัวอธิบายและกำหนดชุดความรู้ขึ้นมา เช่น ในสมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบบ และทุกคนก็เชื่อว่าโลกแบน จนกระทั่งมีการสงสัยขึ้นมา นำไปสู่การค้นหาคำตอบ และพิสูจน์ได้ว่าโลกแบบ ชุดความรู้เดิมที่มีอยู่ก็ถูกทำลายทิ้งไป และหมดคุณค่าลง

สิ่งที่เราสามารถถอดบทเรียนจากชุดความรู้ต่างๆที่เราเรียนนั้นสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่ตั้งคำถามและหาเหตุผลอื่นมาอธิบายแทนความรู้ที่มีอยู่ ไม่แน่เมื่อสิ่งที่เราอธิบายมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเราอาจจะกลายเป็นผู้กำหนดความรู้ใหม่ก็เป็นได้  ชุดความรู้จึงมีพลวัตรของมันจะอยู่ได้นานหรือไม่นานขึ้นอยู่กับการท้าทายกับความรู้นั้นๆ เช่น ในเรื่องวิทยาศาสตร์มีการท้าทายชุดความรู้มาก และมีการพัฒนา  พิสูจน์ เพิ่มเติมเพื่อลบล้างทฤษฏีมาอย่างต่อเนื่อง บางทฤษฏีก็ถูกลบล้างไปแล้ว บางทฤษฏียังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์  เราจะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของความรู้อย่างต่อเนื่อง หากจะเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งอำนาจเหล่านี้ทำงานในกระบวนการครอบงำนั่นเอง คือ การจำกัดขอบเขตไม่ให้มีความคิดอื่นๆมาแย้งนั่นเอง 

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความดีมีไว้แบ่งปัน ไม่ใช่แข่งขัน

ในช่วงกลางปีแบบนี้เชื่อว่าเป็นช่วงที่หลายๆหน่วยงานได้ทำโครงการคัดเลือกเด็กและเยาวชนดีเด่น เพื่อประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลให้กับผู้ทำความดี ทราบได้จากการที่มีรุ่นน้องเยาวชนหลายๆคนติดต่อเข้ามาซึ่งมีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก เพื่อขอคำแนะนำในการจัดทำประวัติเพื่อส่งเข้ารับการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนดีเด่นด้านคุณธรรมและจริยธรรม เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ เยาวชนผู้มีความประพฤติดีงาม นักเรียน นักศึกษารางวัลพระราชทาน เป็นต้น ในเบื้องต้นน้องๆแต่ละคนได้บอกว่าทราบข้อมูลจากบล๊อกของผม http://noppadonyoopromdan.blogspot.com/ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ออนไลน์เพื่อเผยแพร่ประวัติส่วนตัว และผลงานต่างๆให้กับเพื่อนๆคนอื่นๆได้รับทราบ ให้คุณครูหรือญาติพี่น้องได้ติดตามความเคลื่อนไหวของผม ในเบื้องต้นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามผลงาน รวมทั้งบทความต่างๆที่ผมเคยอัพเดตผ่านบล๊อกแห่งนี้ ผมรู้สึกภูมิใจมากที่มีโอกาสได้แบ่งปันประสบการณ์ดีดีกับน้องๆเยาวชนของชาติ และเป็นสิ่งที่ยินดีมากถ้ามีโอกาสได้เห็นเยาวชนมุ่งมั่นทำความดี เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน

ข้อคิดสำคัญที่ผมมักทิ้งท้ายสำหรับคำแนะนำก็คือว่า รางวัลแห่งเกียรติยศและศักดิ์ของความดีนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของจิตที่บริสุทธิ์ด้วยเสมอ  จะต้องไม่เกินความจริง ไม่ใช่การสร้างภาพ ไม่ใช่การจัดทำขึ้นมาเพียงเพื่อให้ชนะการประกวด มิฉะนั้นแล้วเกียรติที่เราได้รับนั้นก็สูญเปล่าทันที หากอยู่บนฐานของความอยากเอาชนะ ถึงแม้คนอื่นไม่รู้ แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือตัวเราเอง  จึงอยากเน้นย้ำให้กับน้องเยาวชนทุกคนที่กำลังจะแบ่งปันความดีผ่านเวทีต่างๆให้ระลึกอยู่เสมอว่า ความคาดหวังจากรางวัลนั้นมีได้ แต่ขออย่าให้ความคาดหวังนั้นกลายเป็นความอยากมีชื่อเสียง โดยที่ไม่สนในเจตนารมณ์ของรางวัล ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า การมอบรางวัลต่างๆนั้น ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเชิดชู ยกย่องคนดีให้มีตำแหน่งที่สูงขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นการประกาศเกียรติคุณเพื่อให้คนๆนั้นได้ตระหนักในตนเสมอว่า ความดีมีไว้แบ่งปัน เมื่อคนหลายคนแบ่งปันความดี ก็จะทำให้เกิดการขยายวงของความดี เกิดเป็นเครือข่ายแห่งความดีงาม และที่สำคัญการมอบรางวัลแต่ละอย่างนั้น ก็เพื่อหวังให้ผู้รับรางวัลได้มีกำลังใจในการทำความดี เพื่อตอบแทนสังคมที่เราอาศัยอยู่ ให้สังคมได้ประจักษ์ในผลงานว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่เราอาศัยอยู่ แต่ถ้าคนไหนคิดว่า การรับรางวัลเป็นการอวดตัวเอง ยกตัวเองให้เหนือกว่าผู้อื่น คงเป็นวิธีคิดที่ผิดอย่างมหันต์แล้ว

จากประสบการณ์การเข้ารับการประกวดในแต่ละครั้งผมมักจะทิ้งท้ายไว้ให้กับคณะกรรมการผู้ประเมินทุกครั้งว่า ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องได้รับรางวัล เพราะรางวัลที่จะได้รับนั้นคงไม่ขึ้นอยู่กับเวลาในชั่วขณะ ความคิดเห็นในเวลานั้น หากแต่เป็นคุณงามความดีที่เราสะสมมาในระยะเวลาหนึ่งแล้ว เป็นกิจกรรมที่เราได้ดำเนินมา ที่เราคิดว่ามันเป็นประโยชน์กับสังคมที่เราอยู่ ดังที่ผมเคยได้รับข้อคิดจากคณะกรรมการประเมินโรงเรียนพระราชทานอยู่ท่านหนึ่ง บอกไว้ว่า "รางวัลสถานศึกษาพระราชทานเป็นรางวัลในพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดทำผลงานประกอบที่เกินเลยจากความจริงเท่ากับการโกหกในหลวง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรางวัล คงเป็นการกระทำที่ยากแก่การจะให้อภัยจริงๆ หากเกิดขึ้นจริงในกระบวนการพิจารณา" และผมก็คิดเช่นเดียวว่า การจัดทำผลงานเพียงเพื่อให้ได้รับรางวัลนั้นเป็นเจตนาที่ลดทอนเกียรติของตนเองที่จะเข้ารับราวัลตั้งแต่ต้นแล้ว และคงไม่สมควรได้รับการพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง

ในฐานะเยาวชนรุ่นพี่ซึ่งมีน้องๆเยาวชนหลายคนได้ให้ความสนใจในผลงาน และต้องการจะขอคำแนะนำในการจัดส่งเอกสารเพื่อเข้ารับการพิจารณาในรางวัลต่างๆ ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคน ให้คิดอยู่เสมอว่า "ความดีมีไว้แบ่งปัน ไม่ใช่แข่งขัน" เจตนาที่บริสุทธิ์เท่านั้นที่ควรค่าแก่การรับรางวัลแห่งความดีงาม และสมควรได้รับการเชิดชูเกียรติ ตลอดจนเป็นแรงผลักดันภายในใจเราต่อการทำความดีให้กับสังคมที่เราอาศัยอยู่ เพราะบ้านนี้เมืองนี้คนเก่งเพิ่มมากขึ้นทุกๆวัน แต่คนที่หาได้ยากกลับกลายเป็นคนดี ที่บ้านเมืองต้องการ  ขอความดีจงมีแด่เยาวชนหนุ่มสาวทุกคน ผู้ซึ่งจะนำพาประเทศชาติให้เดินไปข้างหน้า และผู้ชี้ชะตาอนาคตบ้านเมืองที่มีชื่อว่า ประเทศไทย และเป็นสมาชิกที่ดีของบ้านหลังใหญ่ที่มีชื่อว่า "โลก"  ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฝึกปฏิบัติการวิชาชีพครู 1


เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของการฝึกปฏิบัติการวิชาชีพครู หรือที่คุ้นๆปากกันในชื่อ ฝึกสอน ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนวิชาตามหลักสูตรของคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ทั่วประเทศที่นักศึกษาจะต้องได้รับการฝึกประสบการ์วิชาชีพครูก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาในปีสุดท้าย สำหรับผมเองหนึ่งในนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เอก สังคมศึกษา เลือกโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เป็นสถานที่ฝึกประสบการณ์ เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของการปฏิบัติการสอน  มีหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้ในระบบโรงเรียน เหตุผลที่ผมเลือกฝึกสอนที่โรงเรียนแห่งนี้เพราะว่า พื้นฐานชีวิตทางการศึกษาของผมนั้น ใกล้เคียงกับนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้มาก คือ เป็นเด็กชาวเขา เข้ามาพักอาศัยอยู่ในหอพัก ทำให้เข้าใจความรู้สึกของนักเรียนที่จากบ้านมาเพื่อแสวงหาความรู้บนเส้นทางของการศึกษาได้ดี นักเรียนที่มาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้คงต้องการกำลังใจมากเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาจะต้องต่อสู้กับอะไรหลายๆอย่าง อันดับแรกที่พวกเขาจะต้องก้าวข้ามมันคือ การคิดถึงบ้าน ด้วยความรู้สึกของเด็กๆที่จากบ้านมา ช่วงแรกๆจะคิดถึงบ้านมาก อยากกลับบ้าน ยิ่งเจอเพื่อนๆที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ยิ่งทำให้เราเป็นตัวแปลก อาการแบบนี้ผมเองเข้าใจดี และการมาสอนในโณงเรียนแห่งนี้ผมหวังจะได้ใช้โอกาสในการให้กำลังใจน้องๆนักเรียนได้มีความมุุ่งมั่นในเส้นทางการศึกษา พิสูจน์ตัวเองให้สังคมได้รู้ว่า แม้ต้นทุนทางเศรษฐกิจของเราไม่เท่ากับคนอื่น แต่ต้นทุนชีวิตที่เรามีนั้นมีไม่ต่างกัน ฉะนั้นจงใช้ต้นทุนชีวิตที่เรามีอยู่ได้ยืนหยัด และก้าวเดินด้วยความมุ่งมั่น เชื่อแน่ว่าสักวัน  วันที่เราจะได้ตอบแทนบุญคุณบ้านเกิดเราจะมาถึงแน่นอน


เริ่มต้นปฏิบัติการสอนในห้องอาเซียนของโรงเรียน มีโต๊ะทำงานพร้อมคอมพิวเตอร์ 1 ชุด และสื่อการสอนมากมาย  ในลำดับแรกการสอนอาจจะยังไม่เข้มข้นมากนัก เพราะครูเองก็จะต้องทำความเข้าใจพื้นฐานของนักเรียนก่อน เพราะว่านักเรียนมากจากหลายที่มาก พื้นฐานทางการเรียนรู้ของแต่ละคนแตกต่างกันมาก การจัดการเรียนการสอนให้เด็ได้รู้ในสิ่งที่เราอยากมอบให้ แบบเท่าๆกันนั้นค่อนข้างออกแบบกิจกรรมได้ยากพอสมควร จึงต้องเรียนรู้ และพัฒนาเทคนิคการสอนอย่างต่อเนื่อง

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บ้านเรียน


ปิดภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษา 2556 เพื่อเตรียมตัวฝึกปฏิบัติการสอนในเทอมแรกของปีการศึกษา 2557 มีโอกาสได้กลับบ้านช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานที่บ้าน พบปะญาติพี่น้องทางบ้าน โดยเฉพาะน้องๆ หลานๆ ที่กำลังเติบโต กำลังอยู่ในวัยที่พร้อมต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสื่อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ส่วนตัวผมแล้วเป็นคนที่ชอบสะสมหนังสือไว้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเด็ก หนังสือสมัยที่เรียนประถมศึกษา ยังเก็บไว้เกือบทุกเล่ม แต่สภาพอาจเละเทะไปบ้างแต่ก็ยังสามารถเห็นตัวหนังสือชัดเจน จึงมีแนวคิดที่จะทำการรวบรวมหนังสือครั้งสำคัญ เพราะหนังสือเล่มเก่าๆทั้งหลายส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ในกล่อง ซึ่งไม่มีใครเปิดไปอ่าน ผมเลยวางแผนกับคุณพ่อจัดทำตู้เก็บหนังสือ เพื่อจัดเก็บหนังสือให้สะดวกต่อการหยิบอ่าน และแลดูงามตา แม้หนังสือเหล่านี้จะเก่า แต่สำคัญการพัฒนาทักษะการอ่านในเบื้องต้นก็คงเพียงพอสำหรับน้องๆ หลานๆทางบ้านที่กำลังเติบโต ผมกับคุณพ่อใช้เวลาจัดทำตู้หนังสือตัวนี้ 1 วัน จากนั้นก็ยกขึ้นไปไว้บนบ้านแล้วเอาหนังสือเก่าๆที่อยู่ในกล่องออกมาเช็ด แล้วจัดเรียงในชั้นวาง หนังสือมีหลายประเภท ทั้งแบบเรียน การ์ตูน จนถึงหนังสือที่เกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะผมเองสนใจในคอมพิวเตอร์พอสมควร ได้ซื้อหนังสือมาอ่าน รวมทั้งที่ได้รับการบริจาคบ้าง ก็เยอะพอสมควร แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบเรียนเก่าๆ ที่ปกหายไปแล้ว หวังว่าหนังสือเหล่านี้จะถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้งโดยการเปิดอ่านของน้องๆ หลานๆที่บ้าน หวังให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ของน้องๆ เพราะผมรู้ดีว่าวิธีการไปท่องเที่ยวทั่วโลกที่ประหยัดมากที่สุดคือ การอ่านหนังสือ เพราะหนังสือคือเพื่อนที่สามารถพาเราไปเที่ยวทั่วโลกได้ ตู้นี้ยังรอรับหนังสือได้อีกเป็นจำนวนมาก หากผมได้รับการบริจาคหนังสือก็จะนำไปเติมเต็มตู้ใบนี้ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญการทำให้ตู้นี้ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์นั่นก็คือ มีคนมาหยิบอ่านและเก็บเข้าที่อยู่ตลอดเวลา หวังว่าคงจะเป็นเช่นนั้นครับ.


หนังสือเล่มหนาที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ เล่มนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก อธิบายเกี่ยวกับสภาพกายภาพของโลก การเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ โดยมีรูปภาพประกอบยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น จะนั่นหรือนอนอ่านหนังสือในเปลก็แล้วแต่ความชอบ และที่สำคัญผมคิดว่าแหล่งเก็บรวมรวมหนังสือที่บ้านผมนี้จะกลายเป็นบ้านเรียน สำหรับน้องๆทุกคน กลับบ้านไปเที่ยวหน้าจะหอบหนังสือกลับไปใส่อีกสัก 1 กองโตเลย หากผู้มีจิตศรัทธาท่านใดประสงค์จะบริจาคหนังสือติดต่อผมได้ครับ  เพื่อน้องๆโรงเรียนบ้านซิวาเดอจะได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือดีดี  เพราะผมตั้งใจจะปรับวิธีคิดของน้องๆที่ว่า การอ่านหนังสือต้องอยู่ในโรงเรียนเท่านั้น ต้องอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน ต้องเป็นเวลาที่ครูสอน วิธีคิดที่ส่งต่อกันมาแบบนี้ ทำให้นักเรียนเสียเวลาไปกับการเล่นอยู่ที่บ้านโดยเปล่าประโยชน์ แทนที่จะอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์การอ่าน อยากบอกน้องๆนักเรียนทุกคนว่าเราสามารถอ่านหนังสือได้ทุกที่ ไม่ว่าจะที่บ้าน หรือที่โรงเรียน บ้านเรียนแห่งนี้คงตอบคำถามผ่านหนังสือให้น้องๆได้บ้างไม่มากก็น้องนะครับ

บทบาทผู้นำต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ฯ

บทบาทผู้นำต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในหมู่บ้านซิวาเดอ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

   นพดล  อยู่พรหมแดน
  คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
1. บทนำ
          การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสังคมในระดับชุมชนนั้นจำเป็นจะต้องทราบถึงประวัติศาสตร์ชุมชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและระยะเวลาการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน  และพิจารณาลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่เชื่องโยงกับบริบทของสังคมในสมัยนั้น งานศึกษาชิ้นนี้พยายามสะท้อนภาพของกระแสการอนุรักษ์ป่าไม้ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ แต่ทว่ากลับไปขัดแย้งกับวิถีชุมชนที่เคยอยู่กับป่ามาก่อน อย่างหมู่บ้านซิวาเดอ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวปกาเก่อญอ ตั้งอยู่ในเขตชายแดนไทย-พม่า ความขัดแย้งที่ต่างฝ่ายต่างหาทางออกร่วมกันเป็นเวลานาน แต่ก็มิอาจบรรลุเป้าประสงค์ของแต่ละฝ่ายสักทีนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร และฐานความคิดที่ไม่ตรงกันเกิดจากประเด็นอะไร บทความชิ้นนี้สามารถเปิดมุมมองการเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในเชิงแนวคิดของคนในชุมชน และวิธีการในการอนุรักษ์ป่าในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาภายใต้การขยายตัวของการผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือน โดยอาศัยการเก็บข้อมูลจากผู้ที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านและผู้มีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้  เพื่อให้มองเห็นการเคลื่อนตัวของโครงสร้างสังคมในระดับชุมชน โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 – พ.ศ. 2550 (2 ทศวรรษที่ผ่านมา)
          หากพูดถึงทรัพยากรป่าไม้แล้ว คงเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่คนไทยรู้จักดีที่สุด เพราะว่าประเทศไทยนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ เป็นพื้นที่สีเขียวแห่งหนึ่งที่ยังคงรักษาความชุ่มชื้นให้กับโลกไว้ แต่ทว่าในทศวรรษที่ผ่านมาด้วยกระแสทุนนิยมที่ทักโถมเข้ามาสู่สังคมไทย และแพร่กระจายออกไปสู่สังคมชนบท ทำให้กลืนกินทรัพยากรป่าไม้ของไทยเป็นจำนวนมาก นับวันยิ่งลดน้อยถอยลงตามลำดับ ไม่เว้นแม้กระทั่งเขตพื้นที่ที่เคยเป็นต้นน้ำ ทุกวันนี้เขตป่าไม้ได้ถูกบุกรุก และแปรสภาพเป็นไม้แปรรูปเพื่อเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมป่าไม้ จากสถิติของมูลนิธิสืบนาคเสถียรทำให้เราทราบว่า  ในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยทำลายป่าไปในพื้นที่ 1/3 ของเนื้อที่ประเทศไทย ประมาณ 155,885 ตารางกิโลเมตร หรือ เท่ากับ 56 เท่า
ของพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง การเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่
มุ่งเน้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการพาณิชย์ และการสัมปทานป่าไม้และไม่มีการป้องกันการบุกรุกตามมา   จากอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีจังหวัดต่างๆที่ปกคลุมด้วยป่าไม้เกือบทั้งจังหวัดประมาณ 18 จังหวัด และมีเนื้อที่ป่าไม้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ 23 จังหวัด ปัจจุบันเหลือจังหวัดที่มีป่าไม้ปกคลุมมากกว่า 70% อยู่ 5 จังหวัด และมีจังหวัดที่ป่าไม้ปกคลุมมากกว่าครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ 8 จังหวัด
          มาตรการจัดการป่าของประเทศไทย คือ การประกาศป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ 2507 แต่เนื่องจากเป็นมาตรการที่มุ่งในการควบคุมพื้นที่ป่าเพื่อการใช้ประโยชน์จากป่าเป็นสำคัญ ทั้งการให้สัมปทานไม้ในอดีต และยังคงมีการอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์หรือกระทั่งอยู่อาศัยในพื้นที่ ดังนั้นพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกประกาศปัจจุบันจึงมีพื้นที่ลดลงอย่างรวดเร็ว  ในอีกมุมหนึ่ง การอนุรักษ์ป่าที่ได้ผลมากกว่าการประกาศป่าสงวนคือ การประกาศเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หรือ พื้นที่คุ้มครอง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุสัตว์ป่า วนอุทยาน เขตห้ามล่าสัตว์ป่า รวมถึง สวนรุกขชาติและสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งแม้ว่าจะสามารถรักษาพื้นที่ที่ถูกประกาศส่วนใหญ่ไว้ได้แต่เนื่องจากขั้นตอนการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ในอดีตมิได้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและการสำรวจเพื่อคุ้มครองสิทธิชุมชน จึงทำให้มีการประกาศพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ใช้ประโยชน์ทำกิน และเก็บหาของป่าของประชาชนในชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดปัญหาในเชิงสิทธิชุมชนมากมายในปัจจุบัน ซึ่งต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2541)  ในการผ่อนผันให้อยู่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมีการขยายพื้นที่เดิม ที่ไม่มีการแสดงแนวเขตการควบคุมที่ชัดเจนก็ส่งผลให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้จากการขยายตัวทั้งชุมชนกลางป่า และขอบป่าอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการส่งเสริมการปลูกพืชไร่ต่างๆ สวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ทั้งจากบริษัทเอกชน และนโยบายการสนับสนุนที่ขาดความรอบคอบของรัฐ ทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง และสูญเสียพื้นที่ป่าเพิ่มเติมตลอดมา 2  การจัดการป่าไม้ของภาครัฐที่ไม่มีความครอบคลุมส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของการใช้ทรัพยากรป่าไม้  โดยเฉพาะประเด็นการอาศัยอยู่ของชาวไทยภูเขาซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามเขตพื้นที่สูงและเขตชายแดนเป็นจำนวนมาก แต่ละท้องถิ่นก็มีวิถีชีวิตแตกต่างกันไป รวมทั้งวิธีการในการอนุรักษ์ป่าไม้ที่สามารถจัดการผืนป่าด้วยพิธีกรรม ความเชื่อ ดั้งเดิม เมื่อรัฐมองข้ามประเด็นดังกล่าว แล้วอ้างอำนาจของกฎหมายเพื่อจัดการป่า จึงก่อให้เกิดความขัดแย้ง จนนำไปสู่การรวมตัวกันของประชาชนในการเสนอร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน 3 เพื่อขอใช้สิทธิในการจัดการป่าด้วยตนเอง เพียงแค่รัฐให้ความไว้วางใจ และเชื่อมั่นในวิธีของชาวบ้านต่อการรักษาผืนป่าอันเป็นถิ่นเกิดของตนเอง โดยอาศัยกลไกผู้นำชุมชนในการรักษาป่า หนึ่งในหมู่บ้านที่มีแนวคิดการอนุรักษ์ป่าด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ก็คือ หมู่บ้านซิวาเดอ ที่ผู้ศึกษาจะได้นำมาเสนอรายละเอียดต่อผู้อ่านในหัวข้อถัดไป
          จากตำแหน่งแห่งที่ของปกาเก่อญอในสังคมไทย ซึ่งผูกติดอยู่กับความเป็นป่ามาตั้งแต่ยุคก่อนและหลังรัฐชาติสมัยใหม่นั้น ความเป็น คนป่า จึงมีผลต่อการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของปกาเก่อญออย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มปกาเก่อญอในหมู่บ้านซิวาเดอ ตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชายแดน  ไทย-พม่า เป็นอีกหนึ่งแห่งที่มีความน่าสนใจในเชิงประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชุมชนกลางป่าใหญ่ ในขณะที่ภาพของการเป็นคนป่า หรือคนดอยได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ในยุคก่อนสมัยใหม่ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างปกาญอกับคนพื้นที่ราบที่มีการแบ่งแยก ตำแหน่งแห่งที่ระหว่างกันด้วยแนวคิดเรื่อง ความศิวิไลซ์และไม่ศิวิไลซ์ ดังที่ปรากฏและพูดถึงในงานของ Renard, Ronald D. (2000: p.63-66) ว่าปกาญอถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนดั้งเดิมที่ถูกเรียกว่า ข่า   อยู่ในป่าเขา ไม่มีบทบาทกับเมืองศิวิไลซ์และมีอารยะและไม่ใช่ไทย จนในยุคสมัยใหม่ ความเป็นปกาเก่อญอ ยังคงผูกติดกับความเป็นป่า แต่มีกลไกที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น คือ ปกาเก่อญอมีภาพลักษณ์ที่ผูกติดกับการเป็นคนป่าคนดอยอยู่และยังถูกขับเคลื่อนผ่าน วาทกรรมชาวเขา การถูกกักขังภาพลักษณ์จากภาครัฐและสื่อต่างๆอีกด้วย  โดยมีภาพของการเป็นคนป่าหรือชาวเขาที่ตัดไม่ทำลายป่า แต่ขณะเดียวกัน ก็มีการสร้างวาทกรรมอีกชุดหนึ่งขึ้นมาจากนักวิชาการหรือชาติพันธุ์ปกาเก่อญอและสื่อต่างๆว่าปกาเก่อญออนุรักษ์ป่าหรือปกาเก่อญอ คนอยู่กับป่าซึ่งเป็นการตอกย้ำภาพของการเป็นคนหรือกลุ่มคนที่ผูกติดกับป่าและมีการผลิตแบบธรรมชาติ  ดังนั้น จากภาพลักษณ์ดังกล่าวนอกจากจะสร้างเรื่องราวและการรับรู้ เกี่ยวกับปกาเก่อญอในสังคมไทยแล้ว ยังทำให้เกิดการสร้างระยะห่างของปกาเก่อญอออกจากคนส่วนใหญ่ในสังคมและจัดจำแนกให้ปกาญอเป็นชาวเขา หรือชนกลุ่มน้อย ที่อยู่ในตำแหน่งทางสังคมที่ต่ำกว่า  แต่อย่างไรก็ตามด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ที่หลั่งไหลเข้าสู่สังคมทุกๆแห่ง แม้กระทั่งในเขตชนบทก็มีการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนบนดอยเริ่มเข้ามาผูกติดกับความเป็นเมืองเพิ่มมากขึ้น จากการที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม4 โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในเขตชนบททำให้การบริหารจัดการชุมชนก็เริ่มมีความซับซ้อนขึ้นด้วย กฎเกณฑ์ของสังคมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เมื่อการศึกษาเข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตของพี่น้องชาวเผ่าปกาเก่อญอ การเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองการปกครองระดับท้องถิ่นก็เริ่มมีบทบาทต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน
          จากประวัติศาสตร์การบอกเล่าของชาวปกาเก่อญอในบ้านซิวาเดอ ตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยรู้ว่าเรามาจากไหน แต่รู้ว่าเราอยู่กับเป็นครอบครัวใหญ่ๆ  มีการย้ายถิ่นเนื่องจากเกิดโรคระบาด จึงทำให้ต้องมีการเปลี่ยนที่ตั้งของหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุที่การอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากนั้นมีความแออัด และเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีการย้ายที่อยู่ของแต่ละวงศ์ตระกูล
ให้อยู่คนละพื้นที่  จึงทำให้เกิดการกระจัดกระจายกันอยู่แต่ก็ยังไปมาหาสู่กัน และมีการแต่งงานกันระหว่างหมู่บ้าน ยังคงมีโครงสร้างการปกครองอยู่ในระดับหมู่บ้าน  โดยมีผู้นำทางพิธีกรรมและการปกครองที่เรียกเป็นตำแหน่ง ฮี่โข่ ที่แปลว่า หัวบ้าน หรือก้อโข่ ที่แปลว่า หัวแผ่นดิน การปกครองเบ็ดเสร็จในแต่ละหมู่บ้าน การเป็นผู้นำชุมชนจึงมีความเข้มแข็ง 5 (ข้อมูลสัมภาษณ์พะตี่พือเกปา) 
          ในหมู่บ้านซิวาเดอ ชาวบ้าน ทำไร่แบบหมุนเวียน   ปลูกข้าวไร่ปีละ 1 ครั้ง นอกจากนั้นก็ยังมีการ อนุรักษ์แม่น้ำลำธารและสิ่งแวดล้อม น้ำจึงมีความอุดมสมบูรณ์ตลอดปี  ที่สำคัญคือ การอนุรักษ์ป่าไม้ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวิถีชีวิตของพี่น้องชาวปกาเก่อญอ ก่อนที่จะมีการเผ่าไร่เพื่อทำกินต้องมีการทำแนวกันไฟ  มีการเลี้ยงผีที่ปกปักรักษาผืนป่า ส่งผลให้ ชีวิตของพี่น้องชาวปกาเก่อญอ มีความเกี่ยวข้องกับป่าไม้ ตั้งแต่เกิดจนตาย  การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้จึง เป็นประเด็นที่ผู้นำท้องถิ่นและลูกบ้านต้องให้ความสำคัญ ในปัจจุบันเริ่มมีการถางไม้นอกพื้นที่ทำกิน เนื่องจากว่ามีการนำไม้มาทำเป็นที่อยู่อาศัย ชาวบ้านเริ่มให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ ต้องการผู้นำที่เอาจริงเอาจังกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ โดยเฉพาะป่าไม้ที่เป็นต้นน้ำ  ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ของชาวบ้านที่ให้ข้อมูลกล่าวว่า ป่าไม้ของพวกเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อก่อนจำนวนประชากรมีน้อยพื้นที่ป่าในการทำมาหากินจึงมีเพียงพอ การถางไร่เพื่อปลูกข้าวจึงไม่เป็นปัญหาเชิงพื้นที่ แต่ในปัจจุบันประชากรเพิ่มมากขึ้นจำนวนครัวเรือนก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้พื้นที่สำหรับการปลูกข้าวเริ่มมีจำกัด ก่อนที่จะมีการถางป่าในแต่ละปี ก็ต้องมีการประชุมวางแผน แบ่งเขตพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในภายหลัง  ในกระบวนการดังกล่าวชาวบ้านต้องการผู้นำท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างลูกบ้าน 

2. ผลการศึกษา
          การที่เราจะอธิบายปรากฏการณ์ต่างที่เกิดขึ้นในชุมชน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงสภาพทั่วไปและบริบทของชุมชน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลลายลักษณ์อักษรที่ถูกบันทึกไว้ ถึงประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้ ผู้ศึกษาได้เก็บข้อมูลจากผู้รู้ในหมู่บ้านเพื่อนำมาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังนี้
          2.1 ประวัติหมู่บ้านซิวาเดอ
          ตั้งอยู่หมู่ที่  3  ตำบลแม่สามแลบ  อำเภอสบเมย  จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านของชาวปกาเก่อญอ ตั้งอยู่ในเขตชายแดนไทย-พม่า ทางตอนใต้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนจากการสัมภาษณ์ผู้อาวุโสในหมู่บ้านทราบว่า     บ้านซิวาเดอตั้งอยู่  ณ  ที่ปัจจุบันมาหลายชั่วอายุคนแล้วไม่ใครจำได้ ซิวาเดอเป็นชื่อของชายคนหนึ่งชื่อว่า 
พาเซ่วา คำว่า เซ่วา หมายถึง ต้นไม้สีขาว  ส่วนคำว่า  เดอ  แปลว่าหมู่บ้าน ต่อมามีการเรียกชื่อที่เพี้ยนไปกลายเป็น ซิวาเดอ  แต่เดิมที่หมู่บ้านดังกล่าว  มีต้นไม้สีขาวเป็นลักษณะประจำหมู่บ้าน  เป็นที่สิงถิตย์ของผีต่างๆ ปัจจุบันต้นไม้ดังกล่าวได้แห้งตายแล้ว  ในสมัยก่อนชาวบ้านนับถือผี   ต่อมาเมื่อมีการขยายตัวของการเผยแผ่ศาสนาประกอบกับหมู่บ้านดังกล่าวมีพระธุดงค์ผ่านประจำ   ชาวบ้านจึงนับถือศาสนาพุทธเป็นส่านใหญ่   ส่วนศาสนาคริสต์เพิ่มเข้ามาภายหลัง ผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ นายพะแม  พะหละ  ก่อนที่จะมาเป็นหมู่บ้านแห่งนี้เราได้ย้ายหมู่บ้านมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป เช่น บางแห่งมันอยู่ไกลจากแหล่งน้ำ บางครั้งเกิดโรคระบาด และบางครั้งเกิดการปล้นสดม เราจึงต้องย้าย  เมื่อก่อนเรามีจำนวนสมาชิกในหมู่บ้านจำนวนน้อย การย้ายหมู่บ้านจึงสะดวก ไม่ต้องกังวลอะไร พอมาถึงที่ที่เราตั้งอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ และพื้นที่อยู่ในหุบเขา ซึ่งปราศจากพายุ เราจึงไม่ย้ายไปที่ไหนอีกเลย อาจเป็นเพราะเรามีจำนวนประชากรที่เยอะมากขึ้น การสร้างบ้านเรือนด้วยไม้สัก ที่มีลักษณะใหญ่โตมากขึ้น ทำให้การย้ายหมู่บ้านเป็นไปได้อย่างลำบาก 7
            2.2 ภูมิศาสตร์และการคมนาคม
       ลักษณะภูมิประเทศของบ้านซิวาเดอเป็นภูเขาส่วนใหญ่   มีพื้นที่ลุ่มน้ำตามลำห้วยเล็กน้อย เนื่องด้วยเขตพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในเขตลุ่มน้ำสาละวิน ในทางภูมิศาสตร์ ลักษณะภูมิประเทศของลุ่มน้ำสาละวินโดยส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงชัน คดเคี้ยว ซึ่งมีแนวต่อเนื่องมาจากเทือกเขาหิมาลัย เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำสาขาต่าง ๆ มีลักษณะแคบและยาวตามซอกเขา มีความต่างระดับมาก ที่ตั้งของหมู่บ้านซิวาเดอจึงอยู่ในหุบเขาเล็กๆที่มีลำธารไหลผ่าน ทั้งนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค และการทำการเกษตร (พื้นที่นาส่วนน้อย) ในสมัยก่อนการคมนาคมมีความยากลำบากมากเพราะว่าเป็นถนนที่ขุดขึ้นมาใช้เองเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับตัวเมือง การเดินทางอาจต้องใช้เวลา 2-3 วัน แต่ปัจจุบันการคมนาคมมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น หากจะลำบากก็จะเป็นในช่วงหน้าฝนที่ถนนเต็มไปด้วยโคลนอันเกิดจากการสไลด์ของหน้าดินในช่วงฤดูฝน


2.3 ยุคเปลี่ยนผ่านของหมู่บ้าน
          ในแต่ละช่วงของหมู่บ้านซิวาเดอไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยปราศจากความสัมพันธ์กับองค์กรภายนอกแต่ในทางตรงกันข้าม หมู่บ้านซิวาเดอมีการปะทะสังสรรค์ กับองค์กรภายนอกมาโดยตลอดแต่ลักษณะความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย จากการพูดคุยกับผู้รู้ในหมู่บ้านทำให้ได้ทราบถึงทัศนคติของผู้คนกับการอาศัยอยู่ และยุคเปลี่ยนผ่านของหมู่บ้านที่มีผลต่อวิถีชีวิตโดยผู้ศึกษาได้แบ่งยุคของหมู่บ้านออกเป็น 3 ยุค ได้แก่
          1. ยุคหมื่อบอทูดิ (ยุคดั้งเดิม)
          2. ยุคก่อหล่าวา (ยุคฝรั่ง)
          3. ยุคต่าเซต่าบะ (ยุคเครื่องจักรกลและเทคโนโลยี)
          หากจะกล่าวถึงช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาคือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 – 2550 คงจะจัดอยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างยุคกล่อหล่าวากับยุคต่าเซต่าบะ เพราะว่าในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านนี้สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทของผู้นำในการดูแลพื้นที่ป่า เริ่มมีการนำกฎระเบียบเข้ามาจัดการในการควบคุมพื้นที่ป่า ทั้งนี้เนื่องจากในหมู่บ้านมีประชากรเพิ่มมากขึ้น และมีการบุกรุกจากคนต่างหมู่บ้านจึงต้องมีการประกาศเป็นกฎระเบียบของหมู่บ้านและให้ทุกคนในหมู่บ้านช่วยกันสอดส่องดูและผืนป่าในเขตพื้นที่ของหมู่บ้าน การแบ่งเขตแดนในการทำมาหากินของหมู่บ้านไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน แต่จะอาศัยสันปันน้ำของเทือกเขาในการแบ่ง ประกอบกับพื้นที่ที่บรรพบุรุษเคยทำกิน ก็ถือว่าเป็นเขตแดนของหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละคนจะทราบดีถึงขอบเขตในการใช้และดูแลผืนป่า  เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนผู้ศึกษาจึงขออธิบายลักษณะเด่นของแต่ละยุคที่กล่าวมาข้างต้น ดังนี้
          2.3.1 ยุคหมื่อบอทูดิ (ยุคดั้งเดิม) ถือว่าเป็นยุคริเริ่มของการรวมกลุ่มกันของคนจำนวนน้อยครอบครัว ชักชวนกันตั้งถิ่นฐาน ซึ่งประกอบด้วยไม่กี่ครอบครัว ซึ่งคำว่าหมื่อบอทูดิ แปลว่า ดวงอาทิตย์เหลืองอร่าม+ไข่ทองคำ ถือว่าเป็นยุคสมัยแห่งความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ฝนตกต้องตามฤดูกาล ในป่ามีสัตว์ ในน้ำมีปลา และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ  ในชุมชนมีคนอาศัยอยู่ตามวิถีของความพอเพียง ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีกัน ทุกคนสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีการเชื่อฟังผู้นำ (ฮี่โข่) อย่างเคร่งครัด ผู้นำค่อนข้างมีอิทธิพลอย่างเด็ดขาดในการตัดสินใจลงมือทำงาน การเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าป่า เจ้าเขา การประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อเป็นไปอย่างศักดิ์สิทธิ์  ในยุคนี้ยังไม่ค่อยมีการติดต่อกับสังคมในเมืองเท่าใดนัก แต่ก็มีบ้างสำหรับบางครอบครัวที่เดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเกลือมาประกอบอาหาร  เวลาเข้าไปในเมืองอาจต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ จึงต้องชวนกันไปเป็นคณะ โดยการนำของป่าติดตัวไปด้วย ที่สำคัญจะต้องพูดภาษาไทยได้ จะสังเกตได้ว่าผู้นำชุมชนถึงแม้อายุจะมากแค่ไหน เขาสามารถพูดภาษาไทยได้ และฟังรู้เรื่อง สะท้อนให้เห็นว่าในสมัยที่ต้องลงออกไปซื้อเหลือเพื่อมาแบ่งให้กับลูกบ้าน ฮี่โข่จะต้องเป็นผู้เดินทางไปเอง พร้อมด้วยเพื่อนบ้าน 4-5 คน ความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้าน มีความสนิทสนมกันมาก ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักกันเวลาไปทำงานจะไม่มีการเดินไปคนเดียว เพราะในสมัยนั้นจะต้องระมัดระวังตัวจากสัตว์ดุร้าย อย่างเสือ หมี หมูป่า เป็นต้น
          2.3.2 ยุคก่อหล่าวา (ยุคฝรั่ง) ยุคนี้เป็นช่วงนี้มีการเผยแผ่ศาสนาเข้ามาในหมู่บ้านโดยเฉพาะมิชชั่นนารีที่เข้ามาสอนศาสนาคริสต์  อยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. 2530 ทำให้มีผู้นำครอบครัวบางส่วนหันมานับถือศาสนาคริสต์ แต่ก็มิได้ขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิม  เพียงแค่ไม่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมเท่านั้นเอง แต่ก็สามารถร่วมรับประทานอาหารด้วยกันฉันพี่น้องดังเดิม อาจเป็นเพราะว่าทั้งสองความเชื่อนี้ เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนกัน แต่อาศัยศรัทธาที่แต่ละคนมี เข้ามาเสริมกำลังใจในการดำเนินชีวิตและยึดหลักการทำมาหากินอย่างสุจริต เริ่มมีถนนตัดผ่านหมู่บ้าน ที่เกิดจากการขุดด้วยมือของชาวบ้านเอง มีการแลกเปลี่ยนติดต่อกับบุคคลภายนอกเพิ่มมากขึ้น  ภาครัฐเริ่มมีโครงการเข้ามาช่วยเหลือในชุมชน มีการสร้างสถานีอนามัยขึ้นในหมู่บ้านเพื่อรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ เกิดการก่อตั้งโรงเรียนขึ้น โดยโรงเรียนบ้านซิวาเดอได้ถูกกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2528 ซึ่งจัดอยู่ในช่วงไล่เลี่ยกัน  เริ่มมีครูเข้ามาสอนในโรงเรียน  ชาวบ้านเริ่มส่งลูกเรียน ในช่วงแรกๆต้องมีการปรับทัศนคติในด้านการศึกษาอย่างมาก เพราะว่าพื้นฐานชาวบ้านอยู่กับป่า การส่งลูกเรียนเป็นการเสียเวลา แทนที่จะให้ลูกๆอยู่ช่วยทำงานบ้าน ระบบสังคมในชุมชนเริ่มมีความสลับซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น เริ่มมีความขัดแย้งกันในการใช้ทรัพยากรป่าไม้ การตัดต้นไม้เพื่อนำมาใช้ในการสร้างบ้าน ประกอบกับมีการเข้ามาของนักศึกษาในการก่อสร้างโรงเรียน ทำให้ชาวบ้านเริ่มมองเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงทยอยส่งลูกเข้าสู่ระบบโรงเรียน การจัดระเบียบชุมชนเริ่มปรากฏเป็นทางการเพิ่มมากขึ้นโดยมีการนำเอาระบบการปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่เข้ามาใช้ มีหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุดคือ หมู่บ้าน ระดับใหญ่ว่าคือ ตำบล อำเภอ และจังหวัดตามลำดับ  และในแต่ละระดับการปกครองก็มีผู้นำ ตามลำดับชั้น คือ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัดตามลำดับ  โดยเน้นไปตามสายบังคับบัญชา ระเบียบการปกครองนี้มีผลต่อโครงสร้างผู้นำหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ค่านิยมในการเลือกผู้นำเริ่มเปลี่ยนแปลงไป   เมื่อก่อนจะตัดสินใจจากความสามารถในการปกป้องดูแลชาวบ้านในหมู่บ้าน มีความรู้ในด้านป่าไม้ และเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างแท้จริง เมื่อวันเวลาผ่านไปค่านิยมเหล่านี้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จึงเกิดความคิดในการแบ่งแยกระหว่างผู้นำท้องถิ่นที่เป็นทางการ กับผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เป็นทางการ ผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เป็นทางการจะทำหน้าที่ในการสืบทอด และดำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชุมชน และเป็นผู้นำทางฝ่ายพิธีกรรมทางความเชื่อของชาวบ้าน ส่วนผู้นำที่เป็นทางการหรือผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจะต้องเป็นคนที่มีการศึกษามีความรู้ มีประสบการณ์ทางด้านการเรียนหนังสือ  เพราะจะต้องมีความกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วว่องไวในการทำงาน เพื่อให้ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป  ส่วนในด้านความรอบคอบนั้นผู้อาวุโสหรือผู้นำที่ไม่เป็นทางการจะเป็นผู้ดูแลและให้คำเสนอแนะต่อการแก้ไขปัญหา  การเลือกผู้นำที่เป็นทางการ ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่มีญาติพี่น้องเยอะกว่าจะมีโอกาสในการได้รับเลือกเป็นผู้นำท้องถิ่นสูงกว่าคนอื่นๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายด้วยเช่นกัน ในด้านของฐานะทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกผู้นำ คือ ผู้ที่มีฐานะยากจนหรือปานกลางก็จะเลือกผู้นำที่เขาสามารถพึ่งพาได้ เช่น การกู้ยืมเงิน การค้ำประกัน การพึ่งพารถยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้เองการช่วยเหลือในระยะเวลาที่ผ่านมาก็เข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจเลือกด้วยเช่นกัน เนื่องจากเกิดความรู้สึกแบบบุญคุณเข้ามา คนที่ช่วยเหลือกันบ่อยๆผู้ที่ถูกช่วยเหลือก็มักจะเทคะแนนเสียงให้กับคนๆนั้น
          ส่วนผู้นำที่ไม่เป็นทางการหรือผู้นำทางด้านพิธีกรรมของชุมชนมักจะมาจากผู้ที่มีประสบการณ์ในการดูและจัดการทรัพยากรป่าไม้มาก่อน ละเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เพราะว่าในหมู่บ้านของพี่น้องชาวปกาเก่อญออยู่กันได้ด้วยระบบความเชื่อที่เชื่อว่า ที่มีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะผีบรรพบุรุษเป็นผู้ให้มา จึงต้องมีการบูชาและเคารพในทุกๆปี  ผู้นำเหล่านี้จึงเป็นผู้นำที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มาก่อน มีความรอบรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านของตนเอง รอบรู้ในขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างดี 7
            ผู้นำตามความคิดของประชาชนในตำบลและหมู่บ้านดั้งเดิมโดยเฉพาะกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจสามารถสั่งการให้ประชาชนคล้อยตาม เป็นผู้อาวุโส เป็นผู้มีบารมี มีอิทธิพล ประชาชนเกรงกลัว อันเนื่องมาจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านใช้อำนาจหน้าที่ไปในลักษณะสร้างสัมพันธ์กับประชาชน ดูแลช่วยเหลือประชาชนตามสมควร รวมทั้งสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาเทศบาล และสมาชิกสภาจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยการปกครองพื้นฐานที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุดและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่กระจายอยู่ทั่วภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะในรูปแบบของ การปกครองส่วนท้องถิ่น การใช้กฎระเบียบเข้ามาจัดการความสงบเรียบร้อยจึงกลายมาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ทั้งนี้เพื่อควบคุม กำกัดขอบเขตการใช้ทรัพยากรป่าไม้ที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ จึงก่อให้เกิดกฎระเบียบของชุมชนขึ้นมา
กฎระเบียบของหมู่บ้าน ซิวาเดอ  หมูที่ 3
ตำบลแม่สามแลบ    อำเภอสบเมย    จังหวัดแม่ฮ่องสอน
---------------------------------------------------
1.  หมู่บ้านซิวาเดอ ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้
2.  ห้ามตัดไม้และล่าสัตว์ในเขตอนุรักษ์และเขตต้นน้ำ      ฝ่าฝืน ปรับท่อนละ  500  บาท
3.  ห้ามจุดไฟป่า    ฝ่าฝืนปรับ  500  บาท        แต่ถ้าเป็นผู้นำชุมชน ปรับ  1000  บาท
4.  ห้ามทำลายทรัพย์สินของส่วนรวมทุกชนิด      ฝ่าฝืนปรับ  2 เท่าของราคาเดิม
5.  ห้ามจับสัตว์น้ำในเขตอนุรักษ์      ฝ่าฝืนปรับ ตัวละ  500  บาท/ครั้ง
6.  ห้ามนำยาเสพติดทุกชนิดเข้ามาในหมู่บ้าน    ฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย
7.  ห้ามสุราและส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น  ตั้งแต่เวลา 21.00 น. เป็นต้นไป    ฝ่าฝืนปรับ 300  บาท/ครั้ง
8.   ห้ามปล่อยสัตว์เลี้ยงออกนอก กรณีสัตว์เลี้ยงไปทำความเสียหายให้กับผู้อื่นและต้องชดใช้
      ค่าเสียหายตามความเหมาะสม
9.    ห้ามลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น   ฝ่าฝืน ต้องชดใช้  2  เท่าของราคา
10.  ทุกคนต้องมีถังขยะและทิ้งขยะให้ถูกที่
11.  ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องปฏิบัติตามกฎข้อตกลงของหมู่บ้านภายในตำบลแม่สามแลบ
12.  ห้ามเล่นการพนัน ทุกชนิดในหมู่บ้าน ( ยกเว้นงานศพ )   ฝ่าฝืนปรับ  500  บาท และยึดของกลาง
13.  ทุกคนในหมู่บ้านต้องให้การเคารพสถานที่สำคัญของหมู่บ้าน 8
           
           
กฎระเบียบของหมู่บ้านนี้เกิดจากการบังคับบัญชาจากหน่วยงานภายนอกส่งผ่านลงมายัง กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เพราะว่าจำนวนสมาชิกในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น จึงต้องอาศัยกฎระเบียบที่เข้มงวดเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน  มีการกำหนดกฎระเบียบตำบล กฎระเบียบหมู่บ้านที่มุ่งเน้นการจัดระเบียบสังคมในระดับท้องถิ่น  ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านเลยก็ว่าได้ เพราะว่าการจัดการระเบียบทางสังคมเริ่มมีหน่วยงานภายนอกเข้ามามีส่วนในการจัดการ จะเห็นได้ว่ามีการพูดถึงทรัพยากรป่าไม้ในอันดับต้นๆ ที่มีการกำหนดเขตป่าอนุรักษ์ของชุมชน กำหนดเขตห้ามล่าสัตว์ หากมีการฝ่าฝืนก็จะมีบทลงโทษ

            2.3.3 ยุคต่าเซต่าบะ (ยุคเครื่องจักรกลและเทคโนโลยี)  จากการสอบถามข้อมูลจากผู้สูงอายุในหมู่บ้าน ทัศนคติของชาวบ้านมองว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เกิดจากผลพวงของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้เพราะหมู่บ้านแต่ละแห่งก็เป็นแบบนี้เช่นกัน สิ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้ในการปรับตัวและคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของชนเผ่าในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดีมากกว่า การจะมาปกป้องไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  ในยุคต่าเซต่าบะ ถือเป็นยุคที่การศึกษาเข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจน เมื่อนักเรียนที่เรียนจบจากโรงเรียนแล้วมีการส่งเสริมให้ได้เรียนต่อ โดยการเข้ามาอยู่ในเมือง  ค่านิยม ความเชื่อ และประเพณีที่เคยมีอย่างเข้มข้นเริ่มผ่อนคลายลง เนื่องจากมีการส่งลูกๆเข้ามาเรียนในเมือง การประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อต่างๆจึงคลาดเคลื่อนไปในเชิงเวลา แต่ยังคงดำรงไว้ซึ่งประเพณีอันดีงามที่เคยมี เช่นการมัดมืออาจไม่พร้อมกัน เพราะว่าประเพณีมัดมือนั้นจะต้องรอให้ทุกคนในครอบครัวกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาจึงจะเริ่มได้  หากสมาชิกคนใดคนหนึ่งไม่กลับบ้านก็จะยังไม่เริ่มพิธี  ในช่วงหลังเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะว่าลูกๆส่วนใหญ่เข้ามาเรียนในเมือง แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งแต่อย่างใด ก็จะหาเวลาในการมัดมือในช่วงที่ลูกๆกลับมาบ้าน  วัฒนธรรมบริโภคนิยมเริ่มเข้ามาครอบงำคนในชุมชน  การผลิตเริ่มเปลี่ยนไปในเชิงพาณิชย์ เช่นการปลูกถั่วเหลืองในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อส่งขายในเมือง การปลูกกระเทียมเพื่อส่งขายตามท้องตลาดในเมือง เป็นต้น ระบบการผลิตไม่เพียงแต่บริโภคในครัวเรือนเท่านั้น ยังผลิตเพื่อการค้าขายกับพ่อค้าคนกลาง ทั้งนี้มีปัจจัยที่จะต้องใช้จ่ายมากขึ้น เช่น การส่งลูกเรียนหนังสือ  การจับจ่ายใช้สอยในครัวเรือน การซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ เป็นต้น  โครงสร้างของระบบนิเวศในธรรมชาติเริ่มแปรปรวนไปตามสภาพ บางปีฝนเริ่มตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับเครื่องจักรกล เช่น มีการซื้อรถยนต์บรรทุก เพื่อไปซื้อของในเมืองมาขายในหมู่บ้าน  การรับจ้างขนข้าวในฤดูเก็บเกี่ยว ตลอดจนการไปมาหาสู่กันระหว่างหมู่บ้านกับในเมืองมากขึ้น การเดินทางจากที่เคยใช้เวลา 2 วัน เหลือเพียง 2 ชั่วโมง เริ่มมีการบริโภคแบบฟุ่มเฟือยมากขึ้น กระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับเครื่องจักร มีการซื้อรถไถนาเดินตาม เครื่องตัดหญ้า เครื่องสีข้าว ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก

            2.4 อาชีพ
          การดำรงอยู่ของชาวปกาเก่อญอในหมู่บ้านซิวาเดอ อาศัยผืนป่าเป็นหัวใจสำคัญในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพจึงเกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้โดยตรง การทำไร่หมุนเวียน เพื่อปลูกข้าวบริโภคในครัวเรือน เป็นการปลูกข้าวไร่เป็นพืชหลัก ผสมกับการปลูกพืชอาหารท้องถิ่น เช่น พริก มะเขือ งาดำ ฟักเขียว ฟักทอง น้ำเต้า มะระ ถั่วเขียว ถั่วดำ ข้าวโพด พืชตระกูลแตง และพันธุ์ข้าวพื้นบ้านกว่า 40 - 50 สายพันธุ์ เตรียมพื้นที่ด้วยการตัดฟันและเผาก่อนการปลูกข้าวไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จึงย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปแปลงอื่นที่ได้ปล่อยไว้ให้พักตัวแล้ว และปล่อยให้พื้นที่ซึ่งเพิ่งทำการผลิตได้มีการพักตัวตามธรรมชาติ โดยอาศัยกลไกธรรมชาติจากพื้นที่ป่าที่อยู่โดยรอบแปลงในการพื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน
                                              
          นอกจากการทำไร่ปลูกข้าวตามไหล่เขาแล้วชาวบ้านยังหันมาทำนาในเขตลุ่มห้วยน้ำที่มีน้ำไหลตลอดปีด้วย เป็นการเพิ่มผลผลิตอีกทางหนึ่ง แต่พื้นที่ประเภทนี้ค่อนข้างมีจำกัด จะมีเพียงไม่กี่คนที่เป็นเจ้าของที่นาในลุ่มน้ำลำห้วย โดยส่วนใหญ่ก็ยังปลูกข้าวเป็นพืชหลักเพื่อเอาไว้บริโภคในครัวเรือน และจะมีการปลูกถั่วเหลือง ถั่วลิสง ผักกาด ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อขายด้วย เพราะการทำนาลักษณะนี้ก็ทำได้แค่ปีละ 1 ครั้ง เช่นเดียวกับการทำไร่ เนื่องจากว่าปริมาณน้ำในช่วงฤดูร้อนมีไม่เพียงพอ
            2.5 วิถีชีวิตปกาเก่อญอกับทรัพยากรป่าไม้
         
เออทีเก่าต่อที เออก้อเก่าต่อก้อ (ใช้ป่ารักษาป่า ใช้ดินรักษาดิน) คำเปรียบเปรยในการ  ประกอบอาชีพที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของชาวบ้านซิวาเดอ การประกอบอาชีพจึงสะท้อนวิถีชีวิตในการพึ่งพาอาศัยธรรมชาติอย่างเกื้อกูลที่เห็นได้ชัดเจน เนื่องจากความเชื่อของคนปกาเก่อญอเชื่อว่า ทรัพยากรธรรมชาติทุกสิ่งมี เจ้าของ ฉะนั้นก่อนจะมีการทำไร่จึงมีพิธีกรรมในการบอกเล่ากล่าวแก่เจ้าที่เจ้าทางเทวาผู้คุ้มครอง ดูแลรักษา โดยมีพิธีกรรม 2 ระดับ คือ ระดับหมู่บ้าน และระดับพื้นที่ พิธีกรรมระดับหมู่บ้านของ ผู้ที่นับถือศาสนาดั้งเดิมและศาสนาพุทธนั้นทำด้วยกัน คือ การผูกมือเรียกขวัญก่อนฤดูการผลิต มีการเชิญชวนเทวาอารักษ์ต่างๆมาดื่มกินร่วมกับคนในชุมชนเพื่อขออนุญาตใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการผลิตในรอบใหม่  โดยฮี่โข่ (ผู้นำหมู่บ้าน) จะเป็นผู้อันเชิญแล้วมีการผูกข้อมือเรียกขวัญ ซึ่งกันและกันในชุมชน  ส่วนพิธีกรรมระดับพื้นที่นี้ จะไปประกอบพิธีในพื้นที่ที่ทำการผลิตคือใน พื้นที่ฝาย พื้นที่ไร่ ฝายบางฝายมีเจ้าของหลายคนก็จะทำร่วมกัน ส่วนผืนนานั้นจะทำพิธีทุกคน ตามผืนนาของตนเอง การทำพิธีบูชาเทพแห่งน้ำนั้นจะไปประกอบพิธีตรงที่ฝาย ส่วนการทำพิธีบูชา เทพแห่งดินนั้นจะประกอบพิธีตรงที่นา ในการประกอบพิธีแต่ละครั้งนี้ จะให้ผู้อาวุโสเป็นผู้กล่าวขออนุญาตใช้พื้นที่และขอให้ได้ผลิตที่ดีงาม  โดยมีการเซ่นไหว้ด้วยหมูหรือไก่ ขึ้นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของพิธีกรรม  พ่อหลวงพะแมเล่าว่า พิธีกรรมในระดับพื้นที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ พิธีกรรมที่เรียกว่า บอ เออะ ชิ (นา) บอ เออะ คึ (ไร่) จะจัดขึ้นในช่วงที่ข้าวกำลังตั้งท้อง ออกรวง โดยจะฆ่าหมูและไก่ เพื่อเซ่นไหว้เจ้าผืนไร่ผืนนา ในช่วงการประกอบอาหารห้ามผู้ใดชิมอาหารก่อน เพราะยังไม่ได้ถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากประกอบอาหารเสร็จก็จะตัดเอาส่วนเล็บส่วนหู ส่วนขา ส่วนหัวใจ ของหมูและไก่ไปเซ่นไหว้ แล้วถึงให้คนที่ไปร่วมพิธีกรรมทานได้   จากพิธีกรรมดังกล่าวนี้สะท้อนให้เราเห็นว่าความเชื่อเรื่องเจ้าป่าเจ้าเขาของชาวปกาเก่อญอเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการอนุรักษ์ป่า ผ่านความเชื่อที่ทุกคนมีร่วมกัน การควบคุมทางสังคมต่อพฤติกรรมการใช้พื้นที่ป่าจึงเป็นไปโดยอัตโนมัติที่ไม่ต้องเข้มงวดแต่อย่างใด
            ในพิธีกรรมต่างๆเหล่านี้ผู้นำชุมชนที่ไม่ใช่ทางการก็ยังมีบทบาทสูงในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เพราะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และเคยเป็นผู้ปกป้องดูแลทรัพยากรป่าไม้เอาไว้ การเคารพ ให้เกียรติผู้ที่อาวุโสกว่าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่เมื่อมองกลับมายังผู้นำชุมชนที่เป็นทางการเริ่มมีการแข่งขันกันมากขึ้นเนื่องจากมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง การลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลแต่ละสมัยจึงมีผู้สนใจลงสมัครเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นผลจากการนำแนวคิดของภาครัฐเข้าไปใช้ในชุมชนเพื่อเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย

          2.6 ผลพวงการเปลี่ยนแปลง
          การเปลี่ยนแปลงของชุมบ้านในแต่ละยุคจะเห็นได้ว่ามีทั้งผลดีต่อชุมชนและในขณะเดียวกันก็ส่งผลเสียต่อชุมชน บางครั้งชุมชนสามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงได้ แต่หลายๆครั้งชุมชนเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เข้ามาพร้อมๆกับการจัดระเบียบทางสังคมที่เน้นอุดมการณ์ประชาธิปไตย เมื่อทรัพยากรธรรมชาติมิใช่เป็นเพียงแค่ปัจจัยการผลิตเท่านั้นแต่ยังเป็นฐานที่มั่นคงและสำคัญต่อการดำรงชีวิตในแง่ของการผลิตทางวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยน ตลอดจนการจัดความสัมพันธ์ทางสังคม ที่สำคัญกลายมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับภาครัฐในการอาศัยอยู่ในพื้นที่ โดยพยายามเน้นวิถีชีวิตที่พึ่งพาอาศัยอยู่กับป่า อนุรักษ์ป่าตามวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ได้ถูกลดความน่าเชื่อถือลงเป็นอย่างมาก เพียงเพราะการจัดระเบียบสังคมที่ส่วนกลางเข้าไปเกี่ยวข้องกับประชาชนในระดับท้องถิ่นมากขึ้น สังเกตได้จากกรณีพิพาทของชาวบ้านในพื้นที่ป่าหลายๆครั้ง ชาวบ้านจะเป็นผู้แพ้ในการต่อสู้ทางศาลเสมอ เพราะว่ารัฐได้เอากฎหมายเข้ามาใช้ในการควบคุม และจำกัดสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรป่าไม้  ชาวบ้านตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำเสมอ หลายครั้งที่ชาวบ้านต้องเข้าคุกเพียงเพราะทำมาหากินตามวิถีชีวิตดั้งเดิม ในกรณีนี้ทนายความเลาฝั้ง ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า 
สิ่งที่ภาครัฐน่าจะเสริมในกระบวนการยุติธรรมถ้าเป็นประเด็นในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติในระดับตัวกฎหมาย  จะต้องมีการออกกฎหมายใหม่ กฎหมายในเรื่องป่าไม้ พ.ร.บ.ต่างๆที่เกี่ยวกับป่า  คือจะต้องมีการแก้ไขแล้วก็ให้รองรับสิทธิของคนที่อยู่มาก่อน  มีอยู่สองสิทธิ คือสิทธิในการอยู่มาก่อนกับสิทธิในการเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในป่าได้ เช่น ตัดไม้สร้างบ้าน  หาของป่า  เป็นต้น ถ้าเกิดว่ามีกฎหมายแบบนี้ก็จะเป็นการเปิดช่องให้กับคนที่อาศัยอยู่มาก่อน  คือเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ เช่นการทำไร่หมุนเวียนเขาก็จะมีสิทธิในการอยู่ต่อไปในพื้นที่ป่าที่กำหนด จะให้ประโยชน์เองหรือจะโอนให้ลูกให้หลานมันก็จะไม่ผิดกฎหมาย  อีกอย่างกรณีการไปตัดไม้หาเห็ดหาหน่อ ก็จะเป็นการให้สิทธิว่าคุณจะทำได้ขนาดไหน ตรงไหน ใครเป็นคนดูแล อาจจะให้คณะกรรมในชุมชนดูแล ก็จะสอดคล้องกับความเป็นจริง วิถีชีวิตของชาวบ้านที่จะอยู่ตรงนั้นต่อจริงด้วย อันนี้ก็เป็นตัวบทกฎหมาย ซึ่งตอนนี้เรากำลังเรียกร้องอยู่ เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายนี้  เรากำลังเสนอร่างกฎหมายยังไม่รู้ชื่อว่าเป็นกฎหมายยังไงนะ  แต่จะเป็นลักษณะกฎหมายที่รับรองสิทธิชุมชน  ถ้าเป็นระบบกระบวนการยุติธรรมข้อเสนอมันเป็นไปได้ยากมันเสนอได้แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้  เพราะว่าระบบมันถูกฝั่งรากมาลึก  ถ้าเป็นในลักษณะที่จะให้มันเป็นไปได้คือการจัดทนายความที่มีประสิทธิภาพ  อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ไปกระทบกระทั่งกับใคร  คดีทำลายทรัพยากรหรือคดีเกี่ยวกับสิทธิชุมชนอาจให้ศาลตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบหรือว่าเป็นที่ปรึกษาอาจเป็นนักวิชาการเข้ามาให้คำปรึกษาศาล  ซึ่งข้อเสนอแบบนี้มันก็ไม่เป็นรูปธรรม ศาลก็จะไม่ยอมรับเพราะในระบบมันจะไม่มีผู้พิพากษาสบทบ  หรือเสนอให้มีการตั้งคณะลูกขุนช่วยพิจารณาเสนอไปมันก็จะไม่นำไปสู่การปฏิบัติในทางที่เป็นจริง  ในกระบวนการยุติธรรมมันเป็นไปได้ยากอยู่ ถ้าถามว่าแก้อะไรดีที่สุดพี่ก็มองว่าไปแก้ที่ตัวบทกฎหมาย ถ้ากฎหมายกำหนดสิทธิชุมชนศาลก็บังคับไปตามสิทธิชุมชน  ซึ่งตอนนี้เรายังไม่มีสิทธิชุมชน ศาลก็เลยบังคับไปตามสิทธิชุมชนไม่ได้ 

          ผู้นำกับการอนุรักษ์ผืนป่าที่เคยได้รับการยอมรับจากสมาชิกในหมู่บ้าน มาวันนี้กลับไม่สามารถทำอะไรได้เพียงเพราะมีกฎหมายมาบังคับใช้กับผืนป่าที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ การเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายของรัฐมีผลต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก  เช่น ลักษณะคดีหลังปี 2540 เป็นต้นมาถ้าถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เห็นก็คือ ดูจากคำพิพากษา  การเปลี่ยนแปลงเกิดสักประมาณปี 2552 เป็นต้นมา  หลังปี 2552 เป็นต้นมา มันจะมีกระแสโลกร้อน คนในสังคมเริ่มคิดว่าทำยังไงให้ลดโลกร้อน  ความคิดแรกของการลดโลกร้อนคือการปลูกป่า มีพื้นที่ป่าเยอะๆ ในเมื่อกระแสสังคมมันมาแบบนี้มันก็ส่งผลให้ในทางการเมืองในทางความเชื่อ จึงมีนโยบายในเรื่องเข้มงวดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้  คำพิพากษาของศาลเองก็เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน  อย่างสมัยก่อน กรณีที่มีการบุกรุกป่า หรือว่าไปตัดไม้ในปริมาณไม่เยอะ ส่วนใหญ่ก็จะได้รับการรอการลงโทษ แล้วก็จะโทษปรับที่ไม่ค่อยเยอะมาก  แต่ว่าหลังปี 2552 เป็นต้นมา แนวโน้มของคดีทรัพยากร  ศาลก็จะลงโทษเกือบทุกรายแล้วก็ไม่รองลงอาญาให้ด้วย   ถ้ามองในเชิงของความเป็นชุมชนแล้ว มันเป็นวิธีคิดที่ทางส่วนกลางกำหนด 11   การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมิใช่เพียงเรื่องปัญหาการจัดการทรัพยากรป่าไม้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของโฉนดชุมชนอีกด้วย  แม่ฮ่องสอนมีหมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายในการรวมเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องโฉนดที่ดิน  สิทธิในการได้รับเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย  แต่ว่าการเรียกร้องที่ผ่านมาก็เคลื่อนไหวก็มีความคืบหน้าไปในระดับหนึ่ง  เริ่มมีนโยบายมารองรับ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ถูกปฏิบัติให้มันเป็นจริง เช่น นโยบายสมัยคุณ อภิสิทธิ์ ตอนปี 2553 ก็มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน  เพื่อที่จะป้องกันปัญหาการขัดแย้งในเรื่องพื้นระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ  แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันก็ยังไปไม่ถึง  ทั้งประเทศตอนนี้มีสองหมู่บ้านที่ออกโฉนดที่ดินชุมชนแล้ว ทั้งประเทศเรียกร้องไปกว่า 300 หมู่บ้าน มีสองหมู่บ้านที่ได้รับ  และหมู่บ้านที่ดีรับเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเมือง และไม่ได้เป็นหมู่บ้านที่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ด้วย  ส่วนพื้นที่ที่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ในทางปฏิบัติมันเป็นไปได้ยาก  เพราะหน่วยงานหลักที่ควบคุมคือกรมป่าไม้เขาไม่เห็นด้วยกับการที่ทำให้ชาวบ้านมีเอกสารสิทธ์ในป่า และในเมื่อมันเป็นนโยบายมันก็อยู่ที่ว่าจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้                                                                


3. บทสรุป
         การศึกษาบทบาทผู้นำต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในหมู่บ้านซิวาเดอ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา (พ.ศ. 2530 - 2550) ทำให้เราเห็นพัฒนาการของความซับซ้อนในระดับท้องถิ่นเล็กๆแห่งหนึ่ง หากมองในภาพรวมของสังคมก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก กับสถานการณ์ที่สังคมถูกทุนนิยมครอบงำ จนขาดการพึ่งพาตนเอง ผู้นำที่เคยมีความสำคัญในเชิงจิตวิญญาณกลับถูกแยกออกจากผู้นำท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง กลไกในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ก็ถูกแย่งชิงพื้นที่ไปจนแทบจะไม่เหลือที่ยืนให้กับชุมชนรอบนอก แต่ทั้งนี้เองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้หากเรามองในแง่มุมที่ดีก็จะเห็นข้อได้เปรียบอยู่หลายประกาศ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ การเคลื่อนย้ายข้อมูลที่เป็นไปอย่างเสรีมากขึ้น การเรียกร้องสิทธิในเชิงการต่อรองอำนาจทางการเมืองมีมากขึ้น เพราะว่ามีความสะดวกสบายในการสื่อสารระหว่างกลุ่มด้วยกันเอง  สิ่งที่เรามิอาจปฏิเสธได้เลยคือ ชุมชนล้วนอาศัยทรัพยากรดิน น้ำ ป่า เป็นฐานในการดำรงชีพ ตลอดจนการจัดความสัมพันธ์ทางสังคม ที่ทำให้คนเกิดจิตสำนึกร่วมในการอนุรักษ์ผืนป่าอันเป็นสาธารณะสมบัติที่ชุมชนมีอยู่ รวมทั้งลำห้วยที่เราใช้ประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการต่อรองกับภายนอกได้ด้วย  โดยการยกกระแสการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน หากชุมชนไม่มีทรัพยากรป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ชุมชนก็จะขาดเครื่องมือในการต่อรองกับองค์กรภายนอก การพัฒนาชุดความรู้ที่เอื้อต่อการดำเนินการจัดการจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะสร้างพื้นที่ยืนให้กับชุมชน เพื่อการดำรงอยู่และคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์อย่างสมศักดิ์ศรี  ผู้นำในยุคปัจจุบันจะต้องรู้เท่าทันโลกภายนอกมากขึ้น ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เรามิอาจหยุดยั้งได้นี้ คนในชุมชนเองจะต้องมีจุดยืนและมีการกรัยตัวเพื่อการอยู่รอดโดยที่รบกวนทรัพยากรธรรมชาติน้องที่สุด ที่สำคัญจะต้องมีการนำองค์ความรู้และภูมิปัญญาที่ชุมชนมีอยู่แล้วนั้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตเพื่อยังชีพ หรือมีวิธีคิดบนฐานการผลิตแบบใหม่
         ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาที่เห็นได้ชัดเจนแต่ก็มีสิ่งชัดเจนเสมอเช่นกันนั่นก็คือ การคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของชาวปกาเก่อญอของหมู่บ้านซิวาเดอ  แม้กระแสทุนนิยมเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง  ไม่เว้นแม้กระทั่งโครงสร้างการจัดระเบียบทางสังคมภายใน แต่มันก็เกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัยในบริบทของช่วงเวลานั้นๆ แม้จะยังไม่เปลี่ยนในวันนี้มันก็ต้องเปลี่ยนในสักวัน อยู่ที่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญอยู่ที่การเตรียมรับมือและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับคนในชุมชน ทั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่
เรียนรู้เพื่อการอยู่รอด”.



ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์
        1. พ่อหลวงพะแม พะหละ ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้านซิวาเดอ
        2. ทนายเลาฟั้ง บัณฑิตเทิดสกุล นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ศูนย์พัฒนาเครือข่าย
           เด็กและชุมชน อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
        3. พะตี่พือแกปา   บุคคลผู้อาวุโสในหมู่บ้านซิวาเดอ
        4. นายสง่า  พิสมัย  ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านซิวาเดอคนปัจจุบัน
        5. ผู้ที่มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล

เอกสารอ้างอิง
จุไรพร จิตพิทักษ์. วัยรุ่นชาติพันธุ์ชายขอบกับการปรับตัวในเมืองเชียงใหม่ : กรณีศึกษา
              วัยรุ่นปกาเอะญอ
: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
, 2553.
นายนพดล อยู่พรหมแดน. เรื่อง การศึกษาทัศนคติของชาวปกาเก่อญอที่มีต่อผู้นำชุมชนใน
               ตำบลแม่สามแลบ
พ.ศ. 2555 โครงการ ประชาธิปไตยกับท้องถิ่น สนับสนุนโดย
USAID
นายนพดล อยู่พรหมแดน เรื่อง การจัดการความขัดแย้งภายใต้กระบวนการยุติธรรมระหว่างรัฐ  
              กับประชาชน  กรณีศึกษา :  ศาลจังหวัดแม่สะเรียง
พ.ศ. 2556 โครงการ ประชาธิปไตย
           กับท้องถิ่น  สนับสนุนโดย
USAID
สุมิตรชัย หัตถสาร. (
2554). โครงการการพิสูจน์สิทธิในคดีป่าไม้และที่ดิน (ศึกษาจาก   
               มุมมองของ ทนายความ นักพัฒนา และชาวบ้าน)
โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม
            (
EnLAW).
สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์. (2550). การดำรงความเป็นชุมชนปกาเก่อญอท่านกลางการ
              เปลี่ยนแปลงในด้านทรัพยากร เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคม.

            บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อานันท์  กาญจนพันธ์. (2535). ศักยภาพขององค์กรชาวบ้านในการจัดการป่าชุมชน:
              กรณีศึกษาหมู่บ้านในภาคเหนือ.
สถาบันวิจัยทางสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. 2556. รายงานสาธารณะ สถานการณ์ป่าไม้ไทย 2555 ” แหล่งที่มา
               http://www.seub.or.th/  (วันที่ 15 กันยายน 2556)
ประชาไทย. 2555.
ศาลต้องเข้าใจความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม บทเรียนจากคดี
                   แม่อมกิ
  แหล่งที่มา  http://prachatai.com/journal/2012/06/41215
                (22 มิถุนายน 2555)
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. 2553.  เขตวัฒนธรรมพิเศษ กับความจริงที่เกิดขึ้นของกลุ่มชาติ
               พันธุ์
โดย พณกฤษ อุดมกิตติ  ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร  แหล่งที่มา
               http://www.sac.or.th/main/article_detail.php?article_id=198&category_id=15


การเปลี่ยนแปลงของ Pax Americana หลังสงครามเวียดนาม


         หากจะกล่าวถึงสงครามเวียดนามแล้วคงเป็นที่รู้จักกันดีสงครามหนึ่งที่เกิดการสูญเสียกำลังคนไปเป็นจำนวนมาก   และเป็นสงครามที่ยาวนานตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงจนถึงปี 2518  สงครามครั้งนี้มีทหารอเมริกันเสียชีวิตจำนวน 58,226 นาย และบาทเจ็บอีกจำนวน 153,303 นาย คาดว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในสงครามครั้งนี้ประมาณ 900,000 4,000,000 คน ถือว่าเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญที่ผลิกโฉมหน้าของ Pax Americana ให้อยู่ในช่วงวิกฤติเลยก็ว่าได้ 



          ในระหว่างช่วงท้ายของสงครามเวียดนามและภายหลังหลังสงครามเวียดนามได้ทำให้เศรษฐกิจและการเมืองโลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ผลกระทบของสงครามเวียดนามนั้นมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทั้งสองฝ่าย สำหรับเวียดนามแม้จะเป็นฝ่ายชนะสงครามแต่ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก สิบห้าปีหลังจากสงครามสิ้นสุดลง เวียดนามยังคงอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ขัดสน สำหรับอเมริกานั้น สงครามทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก สร้างความอับอายและเป็นการปิดฉากนโยบายการเข้าแทรกแซงกิจการระหว่างประเทศที่เคยมีอิทธิพลอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1950-1960 แม้ว่าประธานาธิบดีคนต่อมาก็คือโรนัลด์ เรแกน ที่พยายามลบกระแส
Vietnam Syndrome นี้ออกไปและปรับปรุงนโยบาย Containment คือ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในสงครามเย็น มีวัตถุประสงค์ที่จะยุติการขยายตัวของสหภาพโซเวียต แต่ก็ประสบความสำเร็จในส่วนหนึ่งเท่านั้นเป็นความจริงที่ว่าในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ที่ภาพของสงครามเวียดนามยังคงตราตึงและหลอกหลอนชาวอเมริกันและยังมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของอเมริกานับตั้งแต่ตอนนั้นผ่านภาพยนตร์ที่ปรากฏให้เห็นในสหรัฐหลายเรื่อง เช่น PLATOON, TAXIDRIVER,  BORN TO KILL,  CASVALTLES OF WAR, THE DEER HUNTER เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่สะท้อนภาพความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามเวียดนามโดยทั้งสิ้น
          การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นผลมาจากการตกต่ำของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ฐานะการแข่งขันของสหรัฐอเมริกาในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกได้อ่อนแอลงไปเป็นอย่างมากในทศวรรษ ๑๙๖๗ เนื่องมาจาก ประเทศญี่ปุ่นและประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเติบโตขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการที่สหรัฐอเมริกาได้ใช้งบประมาณอย่างมากในสงครามเวียดนาม ประเทศญี่ปุ่นและประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเติบโตมาจากการเร่งรัดการผลิตและส่งออกสินค้าที่มากขึ้นทำให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี และ ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เลือกดำเนินนโยบายการเงิน
การคลัง แบบขยายตัว (Expansionary Policy) อย่างต่อเนื่อง ทั้งสหรัฐอเมริกายังได้ใช้งบประมาณอย่างมากในสงครามเวียดนาม ยิ่งทำให้ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาขาดดุลอย่างรุนแรง ทำให้ในทศวรรษ 1960-กลางทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตในอัตราสูง ทำให้ญี่ปุ่นมีฐานะดุลการค้าเกินดุล และมีสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็ว และกลายเป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก คงจำได้ว่าเป็นยุคที่บริษัทญี่ปุ่นก็จะเป็นผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และบริษัทใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกดังกล่าวมีส่วนซ้ำเติมปัญหาและความศรัทธาเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนแอลง

          ผลที่ตามมาจากสถานการณ์ดังกล่าว คือ รัฐบาลหลายต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลประธานาธิบดีเดอโกล แห่งฝรั่งเศส นำเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาไปแลกกลับเป็นทองคำบริสุทธิ์จากรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาย่อมมีค่าลดลงเมื่อเทียบกับทองคำบริสุทธิ์ แต่รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาไม่ยินยอมลดค่าเงินของตนเองลง เพราะเหตุผลหลัก ไม่ต้องการให้สหภาพโซเวียต (ในขณะนั้น) และสหภาพแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกทองคำหลักได้รับผลประโยชน์เต็ม ๆ จากการลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้สหรัฐอเมริกามีการขาดดุลการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและต่อเนื่อง (ขนาดของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด คิดเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ประมาณครึ่งหนึ่งของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปัจจุบัน) ทำให้ประเทศต่างๆ ไม่มีความมั่นใจต่อเงินดอลลาร์ และได้พยายามแลกเงินดอลลาร์เป็นทองคำ ในที่สุดประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ได้ประกาศยกเลิกการรับแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกากับทองคำบริสุทธิ์เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๗๑ ระบบเบรตตันวูดส์จึงยกเลิกการใช้ไป แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกินขึ้นตอนหลังสงครามเวียดนาม แต่ก็เกิดระหว่างการสิ้นสุดสงครามเวียดนาม
          ค่าเงินดอลลาร์ที่สูงเกินความเป็นจริงนี้ ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ และสินค้าส่งออกต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาไม่สามารถแข่งขันได้ ทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงเป็นที่มาของข้อตกลงพลาซา หรือ
The Plaza Accord ข้อตกลงพลาซาเป็นการประชุมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลัก 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และประเทศญี่ปุ่น ได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันที่โรงแรมพลาซา กรุงนิวยอร์ก และในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1985 ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในระดับทวิภาคีในการร่วมกันแทรกแซง ที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เพื่อลดความไม่สมดุลของการค้าโลก
          โดยสหรัฐอเมริกาจะลดการค้าขาดดุลการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดควบคู่ไปกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ประเทศอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนประเทศญี่ปุ่นจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ควบคู่ไปกับการปฏิรูปภาคการเงิน ผลจากข้อตกลงดังกล่าว ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทั้งนี้ ภายในระยะเวลา 2 ปีจากข้อตกลงดังกล่าว ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 46% เมื่อเทียบกับเงินดอยช์มาร์คของเยอรมนีในขณะนั้น และมีค่าอ่อนลง 50% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ซึ่ง ณ สิ้นปี 1987 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่าลงเฉลี่ย 54% เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่น
          จากการล้มสลายของระบบเบรตตันวูดส์ ก็เกิดการเริ่มขึ้นของลัทธิเสรีนิยมใหม่ในบทบาททางการเมืองชัดเจนในสหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1970 ซึ่งปัจจัยที่เอื้อให้อุดมการณ์แบบเสรีนิยมใหม่ ได้รับการยอมรับในสังคมขณะนั้น คือ บรรยากาศทางการเมืองเพื่อเรียกร้องเสรีภาพและความเป็นธรรมทางสังคม การต่อต้านรัฐอำนาจนิยม ซึ่งกำลังเบ่งบานสุดขีดในช่วงทศวรรษ 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อเรียกร้องเสรีภาพของปัจเจกชน ที่นำโดยนักศึกษา ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกในปี 1968 ส่วนในสหรัฐอเมริกามีกลุ่มต่อต้านสงครามเวียตนามจากหลายซึ่งพุ่งประเด็นไปที่ค่าใช้จ่ายที่อเมริกาเสียไปทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่มากเกินกว่าที่ทุกคนคิดไว้อีกด้วย เกิดการตั้งคำถามเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เหตุผลสมควรในการทำสงคราม รวมทั้งท้าทายนโยบายที่เกี่ยวกับสงครามเย็น กระแสต่างเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการจำกัดอำนาจและบทบาทของจอห์นสันและนิกสันซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนต่อมาที่สำคัญก็คือความโกลาหลและการแบ่งแยกทางความคิดสร้างความลำบากให้กับผู้ที่จะกำหนดนโยบายความเป็นไปของประเทศเป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความพยายามในการแก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านี้ 


          กระบวนการทำให้เป็นเสรีนิยมใหม่ (
neoliberalisation)  หยิบฉวยเอาทุนทางวัฒนธรรมแบบเสรีนิยมที่ฝังราก (Embedded liberalism) อย่างมั่นคงในสังคมตะวันตก โดยผู้นำกระบวนการนี้ได้เน้นนำคุณค่าที่เป็นเสาหลักของแนวคิดเสรีนิยมคือ อิสรภาพและเสรีภาพส่วนบุคคล รวมทั้งสร้างสิ่งใหม่ๆเพื่อออกแบบ ผลิต และผลิตซ้ำคุณค่าเหล่านั้นให้เข้าแทนที่คุณค่าเดิมและผสมกลมกลืนกับคุณค่าอื่นอย่างแนบเนียนจนกลายเป็น "สามัญสำนึก" ของสมาชิกแต่ละคนในสังคม
           เสรีนิยมใหม่กลายเป็นเทรนด์ของเศรษฐกิจโลกแต่ก็ใช้ว่าทุกอย่างจะง่ายในการที่ให้ทุกคนยอมรับเทรนด์ใหม่ของชาติมหาอำนาจในขณะนั้น แม้ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (
IMF) และธนาคารโลก (World Bank)  ซึ่งพยายามผลักดันให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเปลี่ยนยุทธศาสตร์การพัฒนามาสู่เสรีนิยมใหม่แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสององค์กรก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศต่างๆ ได้จนกระทั่งเกิดวิกฤติน้ำมันครั้งที่สอง (Oil Shock) ที่เป็นผลมาจากการลดค่าเงินค่าเงินเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาของสหรัฐอเมริกาซึ่งเกิดในปลายทศวรรษที่ 1970 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูง แนวคิดของเคนเซียนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) กลายเป็นที่พึ่งของชาติต่างๆ รวมไปถึงประเทศไทย ทำให้หลายประเทศจำเป็นต้องปรับตนเองไปสู่การเป็นเสรีนิยมใหม่ไปโดยปริยาย จุดเปลี่ยนที่สำคัญภายในองค์กรของไอเอ็มเอฟ คือ การเปลี่ยนถ่ายเอานักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมใหม่ เข้าแทนที่พวกเคนส์เซียนใน ช่วงปี 1982 ซึ่งทำให้ไอเอ็มเอฟกลายเป็นกลไกรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนในสหรัฐอเมริกาและกระบอกเสียง(การบอกกล่าวให้เป็นแนวทางในการปรับเป็นเสรีนิยมแนวใหม่)ของเสรีนิยมใหม่ในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเต็มตัว
          การเข้าสู่การเป็นเสรีนิยมใหม่ของประเทศกำลังพัฒนาเหล่านั้น มีผลทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือการเกิดวิกฤตฟองสบู่ (
Bubble economy) ในเวลาต่อมา ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเกิดวิกฤติน้ำมันครั้งที่สอง (Oil Shock) สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการลดค่าเงินค่าเงินเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาของสหรัฐอเมริกาซึ่งเกิดในปลายทศวรรษที่ 1970 ส่งผลกระทบทางลบไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น ประเทศอินเดียต้องใช้เงินสำรองต่างประเทศถึงครึ่งหนึ่งเพื่อชำระค่าน้ำมันมาก ในปีเดียวกันนั้นประเทศจีนก็สั่งนำมันนำเข้าภายในประเทศเป็นมูลค่ากว่าร้อยละ 50 ของเงินสำรองระหว่างประเทศเช่นกัน นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของโลกและสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นกว่าร้อยละ 10 ในช่วง วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ฉุดให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะ Stagflation หรือสภาวะที่เศรษฐกิจซบเซาแต่เงินเฟ้อสูง และวิกฤติราคาน้ำมันที่เป็นเหตุการณ์ในปี 1973 สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างของเศรษฐกิจที่มีการผลิตที่ล้นตลาด และการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย ฐานการผลิตจากเดิมในการใช้สินค้าจากประเทศตะวันตก คือ สหรัฐ ยุโรป ย้ายมาเป็นประเทศที่ฝั่งตะวันออก เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น 
          ภายหลังสงครามเวียดนามกับการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ กรณีอาเซียน อาเซียนก่อตั้งขึ้นในบรรยากาศของสงครามเย็น และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รูปลักษณ์สำคัญที่สุดสงครามเย็นคือสงครามเวียดนาม ซึ่งเมื่อมีการก่อตั้งอาเซียน ใน ค.ศ.1967 กล่าวได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงสูงสุด สหรัฐอเมริกาเข้าไปแทรกแซงทางทหารในเวียดนามโดยตรงและสงครามทางอากาศต่อเวียดนามเหนือที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้น ค.ศ.1965 ก็ยังดำเนินอยู่อย่างเต็มกำลัง แม้ว่าอาเซียนจะจัดตั้งขึ้นในลักษณะที่มิใช่เป็นพันธมิตรทางทหารอย่าง เช่น องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Treaty Organization SEATO) ที่มีมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่การเป็นกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ของอาเซียนในขณะนั้นก็ปราศจากข้อสงสัยใดๆ ที่จะปฏิเสธได้และสมาชิกอาเซียน 2 ชาติ คือ ไทยและฟิลิปปินส์ก็ส่งทหารไปรบในเวียดนามใต้ด้วย เวียดนามจึงอยู่คนละฝ่ายกับอาเซียนและประเทศไทยมาแต่ต้น แต่ภายหลังสงครามเวียดนามอาเซียนได้แสดงตัวเป็นกลางทางการเมืองโลกมากขึ้น แม้ว่าผู้สนับสนุนให้เกิดอาเซียนจะมีสหรัฐอเมริกาแต่หลังสงครามเวียดนามสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้มีบทบาทในอาเซียนมากนัก      ผลจากข้อตกลงพลาซา หรือ The Plaza Accord (1985) ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ในขณะที่ค่าเงินเยนมีค่าแข็งขึ้นจาก 250 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 150 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นเกือบ 70% ภายในเวลาเพียง 10 เดือน ซึ่งนั่นทำให้ญี่ปุ่นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ด้วยการลดต้นทุนทุกอย่าง เพิ่มประสิทธิภาพ รวมทั้งย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ ซึ่งไทยและหลายๆประเทศในอาเซียนก็พลอยได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปด้วย ทำให้อาเซียนยิ่งมีบทบาทในภาคเศรษฐกิจโลกเพิ่มมากขึ้น ตราบจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นประเทศฝ่ายสังคมนิยม (CLMV) ก็ได้ทยอยเข้ามาเป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน เวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อ ค.ศ. 1995  ขณะที่พม่าและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกใน ค.ศ. 1997 และประเทศสุดท้ายคือกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อ ค.ศ. 1999   แสดงให้เห็นว่าการปกครองแบบคอมมิวนิสต์มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ภาคเศรษฐกิจมีความสำคัญมากกว่าภาคอุดมการณ์ทางการเมือง ทำให้อาเซียนกลายเป็นองค์ต่างประเทศที่มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามอุดมการณ์เดิมในตอนแรกเริ่มการก่อตั้ง
          อาวุธนิวเคลียร์จะเปนวิธีการสุดทายของการชวยตนเองของประเทศต่างๆ การสะสมหรือไม่สะสมอาวุธนิวเคลียร์ต่างกันไป เริ่มจากเรื่องการเปนพันธมิตรกัน ซึ่งเกิดขึ้นมาในยุคสงครามเย็นที่แตละขั้วอภิมหาอํานาจใหหลักประกันความมั่นคงปลอดภัยแกพันธมิตรของตน  ยกตัวอย่าง เชน เยอรมันกับญี่ปุ่น ไมไดพัฒนาอาวุธนิวเคลียรของตนขึ้นมาเพราะมีสหรัฐอเมริกา เปนหลักประกันความมั่นคง  เพราะสหรัฐอเมริกาสัญญาที่จะขัดขวางประเทศใดก็ตามที่จะมาขมขูพันธมิตรของตนดวยอาวุธนิวเคลียร  จึงทําใหทั้งญี่ปุนและเยอรมัน แนใจไดวาไมจําเปนตองพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาปกป้องตนเอง แต่ก็ยังมีพันธมิตรชาติอื่นที่มีขนาดเล็กกว่านี้ บางชาติมีความแตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน ต่างเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น เมื่อเล็งเห็นว่าสหรัฐอเมริกาอาจถอนกำลังทหารออกไปจากเอเชียในช่วงทศวรรษที่ 1970 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสงครามเวียดนาม การสะสมอาวุธนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นก็มีบทบาทในสถานการณ์โลก แม้ว่าทั้งสองประเทศที่เริ่มสะสมอาวุธนิวเคลียร์ก็มีผลกระทบในระดับการเมืองโลกเช่นกัน
          การแข่งขันกันสะสมอาวุธที่มีกำลังการทำลายสูงดังกล่าว ได้สร้างความตึงเครียดและหวาดกลัวต่อคนทั้งโลก ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่โลกทั้งเสี่ยงต่อการที่จะต้องผจญกับสงครามทำลายล้างโลก นานาชาติจึงเริ่มเรียกร้องให้มีการจำกัดจำนวนอาวุธร้ายแรง องค์การสหประชาชาติได้รณรงค์ให้ทศวรรษที่ 1970 เป็นทศวรรษแห่งการลดอาวุธ ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้ประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต พยายามเปิดการเจรจาลดกำลังอาวุธ โดยการเจรจาตกลงและร่างสนธิสัญญา และประสบผลสำเร็จใน ค.ศ. 1972 ด้วยการยอมรับข้อตกลงในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 1 (The Strategic Arms Limitation Talks – SALT I)      จากที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่า ช่วงท้ายของสงครามเวียดนามและภายหลังหลังสงครามเวียดนามได้ทำให้เศรษฐกิจและการเมืองโลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก เริ่มจากมหาอำนาจในขณะนั้น คือ สหรัฐอเมริกา มีผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการเมืองเป็นอย่างมาก อันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลกด้วย สหรัฐอเมริกาต้องพบเจอกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งจากดำเนินนโยบายการเงิน การคลัง แบบขยายตัว (Expansionary Policy) อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังได้ใช้งบประมาณอย่างมากในสงครามเวียดนามและสวัสดิการทหาร การเกิดวิกฤติน้ำมันในช่วงเดียวกันนั้นยังมีผลทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายิ่งตกต่ำ ทำให้ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาขาดดุลอย่างรุนแรง มีผลให้ประเทศญี่ปุ่นและประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเติบโตมาจากการเร่งรัดการผลิตและส่งออกสินค้าที่มากขึ้นทำให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น เชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนแอลงและในที่สุด ระบบเบรตตันวูดส์ก็ถูกยกเลิกการใช้ไปก่อนการสิ้นสุดสงครามเวียดนามเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
          ต่อมาเกิดการเริ่มขึ้นของลัทธิเสรีนิยมใหม่ในบทบาททางการเมืองชัดเจนในสหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1970 ซึ่งปัจจัยที่เอื้อให้อุดมการณ์แบบเสรีนิยมใหม่ คือ การเรียกร้องเสรีภาพและความเป็นธรรมทางสังคม การต่อต้านรัฐอำนาจนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทำสงครามเวียดนามของสหรัฐอเมริกา ส่วนในทางเศรษฐกิจก็มีการใช้เสรีนิยมใหม่ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ทำให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณมากขึ้นว่าเดิมอย่างมาก เพราะรัฐเข้าไปแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ เสรีนิยมใหม่กลายเป็นเทรนด์ของเศรษฐกิจโลก และถูกบังคับใช้ไปทั่วโลกผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (
IMF) และธนาคารโลก (World Bank)   ในส่วนของการเติบโตขึ้นของอาเซียนที่มาจากการลงทุนของญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นได้ผลประโยชน์จากข้อตกลงพลาซา หรือ The Plaza Accord (1985) และยังแสดงให้เห็นว่าการปกครองแบบคอมมิวนิสต์มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ภาคเศรษฐกิจมีความสำคัญมากกว่าภาคอุดมการณ์ทางการเมืองในประเทศสังคมนิยมในอาเซียน ส่วนในเรื่องของการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ จากที่สหรัฐอเมริกาถอนกำลังทหารออกไปจากเอเชียในช่วงทศวรรษที่ 1970 ทำให้เกาหลีใต้และไต้หวัน ต่างเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจในการปกป้องตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งกระบวนการของการเพิ่มอำนาจในการต่อรอง.


โดย นายนพดล  อยู่พรหมแดน ศึกษาศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

                                      *************************************************
เอกสารอ้างอิง
กัญญณัฏฐา อิทธินิติวุฒิ.องค์การระหว่างประเทศ.เชียงใหม่:คะนึงนิจการพิมพ์, 2549.
ธนู แก้วโอภาส. สงครามแห่งศตวรรษที่ 20. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ลอจิกม.ป.ป.

ธีระ นุชเปี่ยม.เวียดนามหลัง 1975. กรุงเทพฯ:ดอกหญ้า,2537.
สมรนิติทัณฑ์ประกาศ, ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกค.ศ.1945-ปัจจุบัน, (กรุงเทพ: สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกสรศาสตร์. 2553)


James A. Tyner, America’s strategy in Southeast Asia : From the Cold War to the Terror War (New York : Rowman, 2007) 70.

เอกสารออนไลน์

ข้อตกลงพลาซา (The Plaza Accord) แหล่งข้อมูล

http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q3/2007july05p1.htm 

ประสบการณ์ในแดนมังกร

ท่องยุโรปไปกับยุวชนประชาธิปไตย

ท่องยุโรปไปกับยุวชนประชาธิปไตย
ประสบการณ์ในการทัวร์ยุโรปมา ช่างเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นจริงๆ และผมก็มีรูปภาพสวยๆมาฝากกันมากมายเลยทีเดียวครับ ก็ขอเชิญเยี่ยมชมได้เลยครับ ไปกันเล้ยยยๆ!!!!!